Get Paid To Draw

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ลับสุดยอด ; ชาร์วี

          กลับมาอยู่ญี่ปุ่น นนทรีรับรู้เรื่องส่วนตัวของเคนทีละเรื่องโดยไม่มีการซักถามอะไรกัน อย่างเช่นวันหนึ่ง หลังจากกลับมาได้ไม่นานเคนก็ชวนขึ้นมาอย่างไม่มีพิธีรีตองว่า ...คุณนนครับ ไปหาคุณแม่ผมที่คามาคุระกันไหม ท่านทำข้าวซูชิของโปรดไว้ฉลองการคืนถิ่นของผม.....ซึ่งในวันนั้นเธอก็ได้พบกับคุณยูกิโกะ สุภาพสตรีผู้เคยผ่านชีวิตภริยานักการฑูตมาก่อน  จากการสนทนากันอย่างถูกรสนิยมและอัธยาศัยของกันและกันตลอดค่ำวันนั้น นนทรีรู้เพิ่มขึ้นอีกอย่างเดียวว่า เคน มีพี่ชายอยู่คนหนึ่งเป็นนักธุรกิจตั้งครอบครัวอยู่ที่นครนิวยอร์ค นานทีปีหนจึงจะพาภริยาและลูกครึ่งชายหญิงมาเยี่ยมคุณย่า มีเรื่องหนึ่งที่นนทรีเก็บความสงสัยใคร่รู้ไว้นานว่าจะถามเคนแต่ก็หาโอกาสเหมาะไม่ได้สักที นั่นก็คือเรื่องที่ว่าเขามีปัญหาขัดแย้งอะไรมากมายนักกับ "บอสส์" ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของขบวนการสืบสวนใต้ดินทั้งในส่วนปฏิบัติการอย่างเปิดเผย ในหน่วยสืบสวนพิเศษ และในส่วนลับสุดยอดลึกลงไปในระดับที่มีผู้รู้เพียงไม่กี่คน ถึงขนาดเข้าหน้ากันไม่ติด

          เคนพยายามหลีเกลี่ยงการเข้าพบ "บอสส์" ในทุกกรณี งานทุกงานเธอเป็นคนรับมาและเป็นคนนำผลงานไปเสนอ เคนจะทำงานที่ได้รับมอบหมายมาอย่างตั้งอกตั้งใจทุกเรื่อง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องยากเย็นสักเพียงไรก็ไม่พ้นความสามารถของเคนไปได้สักเรื่องเดียว แต่ที่เคนทำอย่างสนุกมากก็คืองานสารพัดบริการของเขา ทำราวกับจะยึดเป็นอาชีพจริงๆ เลยทีเดียว

          วันหนึ่งนนทรีก็ได้รับคำตอบบางส่วนโดยไม่ต้องถามเขาตรงๆ เมื่อเคนวางหูโทรศัพท์แล้วหันมายิ้มกับเธออย่างกระปรี้กระเปร่าชวนว่า

          "เสาร์อาทิตย์นี้ไปเที่ยวดิสนีย์รีสอร์ตกันไหมครับ คุณ"มาริ"วานให้ช่วยพา"ชุน-จัง"ไปฉลองวันเิกิด"

          พอเห็นนนทรีทำหน้าเหรอเขาก็หัวเราะร่าเริงแล้วอธิบายง่ายๆ ว่า

          "คุณมาริเป็นภริยาใหม่ของพ่อผม ส่วนชุน-จังคอลูกชายของเธอและเป็นน้องของผมครับ"

          นนทรีจำได้ว่าการเที่ยวดิสนีย์สองวันหนึ่งคืนครั้งนั้นสนุกที่สุดกันทั้งสามคน เคนเป็นคนเลือกพักในโรงแรมที่ตกแต่งทุกตารางนิ้วเป็นถ้ำและเรือโจรสลัด สร้างสรรอย่างสมจริงจนแขกที่เข้าพักต่างสำคัญผิดคิดว่าตนเองเป็นโจรสลัดคนหนึ่งเป็นที่ถูกใจอย่างสุดๆ ของชุน-จัง น้องชายวัย 11 ปีของเคน แกกรี๊ดกร๊าด ซุกซน โลดโผนเต็มที่ จนเกือบไม่ได้หลับได้นอน จนค่ำวันรุ่งขึ้นหลังจากการท่องเที่ยวเล่นจบลง นนทรีจึงได้รู้ว่าใครเป็นใคร

          "เคน-นี่ซัง.....คุณพ่อมารับพอดีเลยครับ"

          นนทรีอ้าปากค้าง เมื่อเห็นคนขับกับสตรีที่นั่งอยู่เคียงข้างถนัดตา เธอส่งสายตาเป็นคำถามไปที่เคน เขาไม่พูดว่ากระไรได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เหลียวซ้ายแลขวาเหมือนหาทางหลบหนีแต่ไม่ทัน ค่ำนั้นเขาจึงต้องร่วมรับประทานอาหารชุดวันเกิดโจรสลัดกับครอบครัวน้องชายอย่างไม่มีทางหลบเลี่ยง นนทรีเตรียมสนุกด้วยเต็มที่ แต่ก็ต้องเซ็งไปกับสีหน้าเฉยเมย และอาการถามคำตอบคำของเคนที่แสดงให้เห็นว่าหมดสนุกอย่างสิ้นเชิง นนทรีจึงได้แค่คิดอย่างหมายมาดว่าวันหลังจะหาโอกาสมาใหม่ ในบรรยากาศที่ดีกว่านี้

          "คุณนนครับ"

          เสียงเรียกและเสียงกระจกถูกเคาะเบาไ ปลุกนนทรีขึ้นจากอาการเคลิ้มหลับ เธอปิดปากหาวพลางเอื้อมมือไปปลดล็อกประตูรถให้เคนเปิดขึ้นมานั่งที่ข้างคนขับ

         "ไปเสียนานเชียวเคน นนคิดอะไรๆ เพลินเลยเผลอหลับไป"

          "เสียเวลานานไปหน่อยกว่าจะไปเจรจาเอาตุวคูมิกลับออกมาได้ แต่ต้องยอมให้เขาริบปืนไป"

          "หารู้ไม่ว่ามันมีอีกตั้งหลายกระบอก"

          นนทรีหัวเราะอย่างขบขัน แล้วก็อดถามถึงคนสำคัญไม่ได้

          "ก็อย่างที่เขาพูดกับคุณนนนั่นแหละ จะเอาฟิล์มม้วนนั้นให้ได้ก็เลยเถียงกันนิดหน่อย"

          การเถียงกันไม่ได้นิดหน่อยอย่างที่เขาบอก ผู้บริหารระดับสูงสุดของสถาบันรักษาความมั่นคงปลอดภัยแห่งชาติกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน เมื่อท่านเห็นภาพจากจอมอนิเตอร์ว่าใครกำลังกดลิฟท์ลับพิเศษขึ้นมาความเร็วของลิฟท์ไม่ได้ให้เวลาท่านเตรียมตัวรับสถานการณ์แต่อย่างใด เลยต้องตั้งรับอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่มีกองเอกสารวางซ้อนอยู่สองข้าง พอออกจากลิฟท์ได้ นักสืบหนุ่มปราดเข้ามาที่เจ้าของห้องด้วยกริยาของเสือที่กระโจนตะครุบเหยื่อทำตาวาวอย่างเอาเรื่องแน่ๆ

          การเคลื่อนไหวอย่างลืมตัวโดยไม่ประมาณพลกำลังที่ลดถอยลงจากเกณฑ์ปกติจนเกือบถึงขีดต่ำสุด ทำเอาเจ้าโทสะหน้ามืด เกือบเสียหลักหากว่ามือข้างที่ใช้งานได้คว้ายึดขอบโต๊ะตัวใหญ่ไว้ไม่ทัน เขาสะบัดหัวไปมาคิดว่ามันจะช่วยปรับภาพมัวๆ ที่เคลื่อนไหวทับซ้อนกันให้ชัดขึ้นเป็นภาพเดียวได้แต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดก็เลยต้องโผไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งของโต๊ะประชุม หงายหน้าพาดคอกับพนักหลับตาแล้วหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง.....มันช่วยให้ดีขึ้นนิดหนึ่ง แต่กลับมีอาการคลื่นเหียนตามขึ้้นมาริ้วๆ ความเย็นที่หน้าผาก และกลิ่นหอมซ่าๆ ที่ถูกสูดตามลมหายใจลึกๆ เข้าไปนั้น ช่วยเขาไม่ให้ทำอะไรเลอะเทอะออกมา แต่พอรู้สึกตัวว่าใครกำลังพยาบาลเขาอยู่โทสะก็พลุ่งขึ้นมาอีก เขาปัดมือที่กำลังใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นซับเหงื่อที่หน้าผากออกไปให้พ้น ลืมตาจ้องมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาววามอย่างคนโกรธจัดเช่นเดิม ไม่ไยดีกับสายตาแสดงความเอื้ออาทรอย่างเหลือหลายของอีกฝ่ายแต่คราวนี้เขาไม่กล้าลุกขึ้นทำท่าอาละวาดอีก

          "คุณ.....ท่านผู้บัญชาการจะเอาอะไรกับผม"
          
          เคนเริ่มหาเรื่อง เพราะรูปการทำให้เขาแน่ใจว่าท่านผู้นี้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกือบทำให้เขากลายเป็นคนพิการ

          "แกหมายความว่ายังไง"

          ท่านโยนผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นในมือทิ้งลงบนโต๊ะประชุม ถอยไปยืนพิงโต๊ะทำงานแล้วมองมาที่มือข้างซ้ายของนักสืบหนุ่มเลือดร้อน การที่เจ้าตุววางมันไว้นิ่งๆ บนโต๊ะ แสดงว่าอาการคงจะหนักไม่น้อย

          "รู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะมาถาม ไอ้ฟิล์มบ้าๆ นั่น่ะผมไม่เก็บเอาไว้ทำอะไรหรอก ไม่ถึงกับต้องส่งคนมาขู่เข็นทุบตีผมก็จะให้อยู่แล้ว"

          "ถ้าแกหมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับแกเมื่อบ่ายนี้ล่ะก็ ชั้นได้รับรายงานรายละเอียดทั้งหมดจากทางนครบาลแล้ว และก็เพิ่งแถลงข่าวจบ กลับมานี่เอง"

          "แถลงข่าว.....ข่าวอะไร..........นี่ท่านจะมาไม้ไหน ผมตามไม่ทัน"

          ทีนี้นักสืบหนุ่มมีท่าทางงงงันจริงๆ เขายันตัวขึ้นนั่งตัวตรง ลืมอาการคลื่นเหียนวิงเวียนเมื่อครู่ก่อน

          "คงทันออกข่าวสามทุ่ม นี่ก็กำลังจะกลับไปคอยดูที่บ้านก็พอดีที่แกมา งั้นคอยดูพร้อมกันที่นี่เลยก็แล้วกัน"

          "ไม่..........ผมต้องการทราบเดี๋ยวนี้ว่ามันเรื่องอะไรกัน!!!!!"


นิยายนักสืบยอดรักจากแฟ้มสืบสวนลับสุดยอด ของ ชาห์วี

มือสองสภาพดี 90% ขนาด 6X8 นิ้ว จำนวน 507 หน้า



แวะชมเล่มอื่นได้ที่

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โรซี่ดันส์ ฉันรักเธอ Cecelia Ahern

โรซี ดันน์ ฉันรักเธอ

Cecelia Ahern เขียน

รุ่งอรุณ สัมปัชชลิต แปล

เรื่องราวความรักสุดโรแมนติก ของ เธอและเขา ที่เกิดมาคู่กัน แต่กลับไม่รู้ใจกันว่ารัก...
จากผู้แต่ง PS,I Love You ที่ติดอันดับขายดีมาแล้วทั่วโลก







From : อเล็กซ์

To :     โรซี่

Subject : Re : หายนะ!

          ถึงบ้านแล้วฉันจะโทรหานะ เป็นเรื่องจริง พ่อได้รับการเสนองานที่ฟังดูน่าเบื่อสุดๆ...ฉันไม่รู้หรอก ฉันไม่ได้สนใจฟังน่ะ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องถ่อไปทำงานน่าเบื่อถึงบอสตัน ที่นี่ก็มีให้ทำถมเถ เอางานฉันไปก็ได้

          โธ่ "รซี่ ฉันละฉุนจริงๆ ฉันไม่อยากไปเลย อีกแค่ปีเดียวฉันก็จะจบแล้ว ไปตอนนี้ผิดจังหวะเหลือเกิน ฉันไม่อยากไปโรงเรียน ม.ปลาย อเมริกันงี่เง่าหรืออะไรก็ตามที่เขาเรียกกัน ฉันไม่อยากไปจากเธอเลย

          ไว้ฉันจะโทรหาเธอแล้วเราค่อยคุยกันนะ เราต้องช่วยกันคิดหาหนทางที่ฉันจะอยู่ต่อได้ นี่เป็นเรื่องที่แย่จริงๆ โรซี่


From : โรซี่

To :     อเล็กซ์

Subject : อยู่กับฉันเถอะ!

          อย่าไปนะ! พ่อกับแม่บอกว่าเธออยู่กับเราทั้งปีก็ได้! เรียนที่นี่ให้จบก่อน จากนั้นเราทั้งคู่ค่อยตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อ! อยู่ต่อเถอะนะ! เราสองคนได้อยู่ด้วยกันมันต้องเป็นอะไรที่เยี่ยมมากเลย จะได้เหมือนกับตอนที่เรายังเด็ก เราเคยคุยวอล์กกี-ทอล์กกีกันจนไม่ได้นอนทั้งคืน! จำได้มั้ย!! เราได้ยินคลื่นแทรกมากกว่าเสียงเราเองเสียอีก แต่เราก็คิดว่าเราเจ๋งซะไม่มี! จำตอนคืนก่อนคริสต์มาสปีก่อนนู้น ที่เราตัดสินใจอยู่โยงเฝ้า "ซานต้า" ได้มั้ย เราวางแผนอยู่เป็นอาทิตย์ๆ ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเคยต่นเต้นขนาดนั้น! เราวาดแผนผังเล็กๆ ของถนนกับแผนที่บ้านของพวกเราเพื่อที่จะได้ครอบคลุมทุกตารางนิ้วและไม่คลาดกับซานตา เธอเฝ้าเวรตอนทุ่มถึงสี่ทุ่ม ส่วนฉันเฝ้าเวรตอนสี่ทุ่มถึงตีหนึ่ง เธอต้องตื่นมาเปลี่ยนเวรกับฉัน แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเธอไม่มา...ฉันตื่นอยู่ทั้งคืนตะโกนใส่วอล์กกี-ทอล์กกีนั่น พยายามปลุกเธอให้ตื่น! เฮอะ ช่างเถอะ เธออดเอง ฉันเห็นซานตา แต่เธอไม่ได้เห็น...

          ถ้าเธออยู่กับเรานะ อเล็กซ์ เราจะได้คุยกันทั้งคืน! โอ้ มันต้องสนุกมากแน่ๆ ตอนเรายังเด็ก เราอยากอยู่ด้วยกันมาตลอด นี่เป็นโอกาสของเราแล้ว

          คุยกับพ่อแม่ของเธอดูนะ กล่อมพวกเขาให้ตกลง ยังไงเธอก็ 18 แล้ว จะทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ! โอเค ถ้าเธอมาอยู่กับฉันไม่ได้ อย่างน้อยก็อยู่กับฟิลก์ก็ได้ อยู่กับพี่ชาย พ่อแม่ของเธอปฏิเสธไม่ได้หรอก



โรซี่

          ฉันไม่อยากปลุกเธอ แม่เธอเลยบอกว่าจะส่งนี่ให้เธอ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบการล่ำลา และถึงไงนี่ก็ไม่ใช่การล่ำลาเพราะเธอต้องมาเยี่ยมบ่อยๆ อยู่แล้ว สัญญานะ

          ฉันต้องไปแล้วละ...ฉันจะคิดถึงเธอ ไปถึงแล้วจะโทรหานะ

                                                                                      รัก
                                                                               อเล็กซ์

ป.ล.ฉันเคยบอกแล้วไง คืนก่อนวันคริสต์มาสฉันตื่นอยู่ วอล์กกี-ทอล์กกีฉันแค่แบตหมดต่างหาก...(ฉันเห็นซานตาด้วย จะบอกให้)


From : โรซี่

To :     อเล็กซ์

Subject : ขอบใจนะ พ่อกำลังใจ

          ขอบใจจ้า พ่อกำลังใจ ที่ดีใจกับฉันเหลือเกิน เผื่อเธอจะไม่สังเกต เธอกับฉันไม่ได้คบกันเป็นแฟนนะจ๊ะ ใช่ เธอเป็นเพื่อนที่ดี (ใจกว้างและคอยให้กำลังใจ) แต่เธอไม่ได้อยู่ที่นี่กับฉันทุกวันนี่ ฉันแน่ใจว่าเธอคงเข้าใจถ้าฉันจะบอกว่าการหาเพื่อนกับการหาคู่เป็นคนละเรื่องกัน เธอยอมรับข้อเสียต่างๆ ของฉัน ผิดกับผู้ชายบางคน แต่เธอไม่ได้อยู่ที่นี่

          ก็มีเท่านี้แหละ หวังว่าชีวิตแต่งงานจะไปได้สวยนะ!



โรซี่ที่รัก

          ในที่สุดเธอก็แต่งจริงๆ เธอแต่งงานกับตาคนนั้นจนได้ เธอดูสวยมาก โรซี่ ฉันภูมิใจที่ได้ยืนเคียงข้างเธอที่แท่นพิธี และฉันภูมิใจที่ได้อยู่กับเธอในวันสำคัญของเธอ ฉันภูมิใจที่ได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวของเธอ แต่อย่างที่เธอพูดในวันแต่งงานของฉัน ฉันไม่ใช่เพื่อนเจ้าสาวในวันนั้น ตาคนนั้นต่างหาก เธอทั้งคู่เหมาะสมกันมาก

          ฉันรู้สึกแปลกมากเลยตอนที่เธอหันหลังให้ฉันและเดินไปตามทางเดินในโบสถ์กับเกร็ก มันเป็นความรู้สึกอิจฉาแปล๊บขึ้นมา นี่เป็นเรื่องปติหรอเปล่า เธอรู้สึกแบบนี้ในวันแต่งงานของฉันหรือเปล่า หรือว่าฉันเป็นบ้าไปแล้ว ฉันได้แต่คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหัวว่า "ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป" เกร็กคือคนสำคัญในชีวิตของเธอ ตอนนี้เขาคือคนที่ได้ฟังความลับทุกอย่างของเธอ แล้วฉันจะกลายเป็นอะไรกันล่ะ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆ โรซี่ ความรู้สึกที่เหมือนจะทำใจได้ แต่ยังมีอะไรค้างคาอยู่ในใจ

           ฉันไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับใคร โดยเฉพาะแซลลี เพราะไม่งั้นเขาต้องดีใจเหลือล้นที่คิดว่าทฤษฎีเล็กๆ ที่ว่าผู้ชายกับผู้หญิงไม่สามารถเป็น "แค่เพื่อน" ของเขาถูก ที่ฉันอิจฉาไม่ใช่เพราะฉันอยากจะเป็นสามีเธอซะหน่อย มันแค่...โอ้ย ฉันไม่ลู้(อเล็กซ์ใช้ภาษาเหมือนตอนเป็นเด็ก--ผู้อ่าน)จะอธิบายยังไง ฉันแค่รู้สึกเหมือนคนนอก ก็เท่านั้นเอง

          

มือสองสภาพดี  90%  ขนาด 6X8 นิ้ว จำนวน 526 หน้า



แวะชมเล่มอื่นๆ ได้ที่ 

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Pocketful of Pearls; Shelley Bates

POCKETFUL OF PEARLS
By Shelley Bates

Dinah Traynell is trapped. Raised in a toxic church, she is forced to surrender to her sociopathic pastor's every demand, even while mourning the loss of her father. Though she dreams of escape, this is the only world she's ever known.

When Dr.Matthew Nicholas appears on Dinah's doorstep in the dark of night, he's burdened with troubles of his own. He's left his university position, and has been traveling to escape the trauma of his old life. Now he's stranded and penniless, but he'd rather lend a helping hand on a stranger's ranch than go home.

Drawn to Dinah, Matthew is torn between his desire to help her and the fear of getting involved. And Dinah has her own struggle with issues of faith. But when an abandoned baby is unexpectedly dropped into their lives, they must learn to open up and trust one another, or they'll never break free of the past.



"I hope you know something about caring for babies." Matthew followed Dinah up the attic stairs, marveling at how quiet the house was with Tamsen asleep. They'd grabbed the opportunity to do some detective work and see what they could find in the way of baby clothes and equipment. "What I know could fit in the nipple on her bottle."

          "My knowledge is seventeen years old," Dinah confessed. She opened the attic door and stood to one side as he joined her. "A little girl's idea of looking after her sister is trying not to poke her with the diapperpins and sticking a bottle in her mouth when she'd hungry. There has to be more to it than that." She paused, surveying the room under the peaks of the roof by the light of the bare bulb overhead. "Good grief. Look at all this stuff. It's going to take all day to find anything in here."

                   That just for starters. Matthew didn't know how long the family had been on this place, but there were at least three generations' worth of belongings up here. A three-speed bicycle leaned against an art Deco-era chest of drawers. Boxes were stacked on top of boxes, all labeled Books. That might be interesting but definitely not at the moment. A number of lamps missing bulbs crowded the surface of a cedar chest, and across the back of the room, a clothesline sagged under the weight of what looked like fifty or sixty dresses. He narrowed his eyes.

          "Were those your mother's?"

          Dinah looked up from a box she'd opened labeled Dinah Baby. "Those are color. Women in my family haven't worn color in three generations. Those are probably Great-Grandmother Sarah's, from before she met the Shepherd. We're favored family because of her."

          "What does that mean?"

          "Well, when the original Shepherd came here, only two families would give him a place to stay or listen to the gospel he brought. So as the Elect grew, those original families were called the First Fruits of the harvest, or just favored families. We have Gathering in our home, and the men of the family are Elders, as it was in first days. Hey, look. Here are some sleepers of mine. And bibs and stuff."

          Still trying to work out the tenets of this odd religion, Matthew said, "But what if there are only girls in family? Such as this one, for instance."

          Dinah held up a crocheted, pale-aqua blanket with an old stain in the middle. "The McNeills-the other family-had girls, too. So when Madeleine married, her husband Owen Blanchard became Elder."

          "Rather like British primogeniture," he commented. "Property goes to the eldest son, or the son of the eldest daughter."

          "That's going to be a problem in my case." She didn't sound as if she cared much that a four-generations-old tradition was going to end with her.

           "No husband, no son? How unsporting of you."

          "No way." Her voice was hushed, and it sounded as though the words were being forced between her teeth. "Here's another box with Tamara's baby things. Have a look around and see if you can find a high chair. And a crib. She can't sleep in the car seat forever."

          That closed that subject. Matthew didn't press her. It was nothing to him whether or not this odd group got its elder or not. From what he'd seen, the sooner it atrophied and died out, the better, starting with its leadership.

          
ภาษาอังกฤษ จำนวน 335 หน้า ขนาด 5.5X8.5 นิ้วสภาพดี 100%




แวะชมเล่มอื่นๆ ได้ที่

อาหรับราตรี; เสฐียรโกเศศ นาคะประทีป

"อาหรับราตรี"

นิยายอาหรับราตรีเป็นนิทานที่เล่ากันทั้งในอียิปต์ เปอร์เซีย ตลอดจนอินเดีย แล้วจึงมาแต่งเป็นหนังสือขึ้น ในสมัยที่พวกอาหรับมีอำนาจครอบครองเปอร์เซียและอียิปต์...


ชาร์เรียร์กับชาห์เซนัน


ครั้งเมื่อพระเจ้าเชมเษดดินมูฮำหมัด เสวยราชสมบัติในแคว้นอิหร่าน พระองค์ทรงเดชานุภาพใหญ่ยิ่ง มีอาณาเขตไพศาลไปถึงแดนอินเดียและจีน บ้านเมืองเป็นสุขปราศจากสงคราม ทวยอาณาประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นปกติสุขมาช้านาน พระเจ้าเชมเษดดินมูฮำหมัด มีโอรสสององค์ องค์ใหญ่พระนามว่าชาห์เรียร์ องเล็กว่าชาห์เซนัน เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วชาห์เรียร์โอรสองค์ใหญ่ได้สืบสันตติวงศ์ดำรงอาณาจักรอิหร่านแทนพระบิดาต่อไป เจ้าชายชาห์เรียร์มีนิสัยน้อมไปในโทสะจริตฉุนเฉียว แต่ยังทรงคุณสมบัติความดีอยู่มาก โปรดปรานรักชาห์เซนันอนุชายิ่งนัก เมื่อพระองค์ได้เสวยราชย์ประเทศอิหร่านแล้ว โปรดให้อนุชาไปครองประเทศตาต ฝ่ายพระเจ้าชาห์เซนันก็ได้ปกครองบ้านเมืองตามเยี่ยงอย่างพระเจ้าทรงธรรมไพร่ฟ้าพลเมืองได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นเดชานุภาพของกษัตริย์ทั้งสองจึงเป็นที่ยำเกรงต่อหมู่ปัจจามิตรและประเทศใหญ่น้อยทั่วไป

          ล่วงมาประมาณสิบปี พระเจ้าชาห์เรียร์มีประสงค์ใคร่จะพบอนุชา จึงให้วิเซียร์คืออมาตย์เป็นราชฑูตไปเชิญอนุชามาราชสำนักพระองค์ พระเจ้ากรุงตาตทราบประสงค์พระเชษฐาแล้ว จึงรับสั่งกับวิเซียร์ว่า "เรามีความยินดีเป็นอันมากที่ท่านได้มาถึงนครนี้ ตัวเราเองก็ระลึกถึงพระเชษฐาอยู่เหมือนกัน บัดนี้บ้านเมืองเราก็เป็นสุขสงบราบคาบดีอยู่ เราจะตระเตรียมเดินทางไปนครอิหร่านภายในกำหนดสิบราตรี ท่านจงพักผ่อนเสียให้สบายก่อนเถิด"

          ครั้นถึงกำหนดพระเจ้ากรุงตาตเสด็จออกจากพระราชวังมาตั้งกระโจมพักแรมอยู่ใกล้กับกระโจมราชฑูตกรุงอิหร่าน พระองค์ประทับตรัสประภาษกับราชฑูตอยู่จนเวลาเที่ยงคืน แล้วเสด็จกลับเข้าในพระราชวังแต่ลำพัง เพื่อจะลามเหสีที่โปรดอีกสักครั้ง เมื่อเสด็จถึงที่ข้างใน ก็ตรงเข้าสู่ห้องมเหสีโดยพลัน ดำริว่าจะได้เห็นนางดีใจด้วยความพิสมัยในพระองค์ แต่การณ์ได้หาเป็นดังที่ทรงคาดหมายไม่ กลับเห็นนางเข้าอยู่ในวงแขนของทาสกายกำยำกำลังกอกกระหวัด พลอดสนทนากันอยู่บนพระแท่น ทั้งนี้ พระองค์แทบจะมิเชื่อพระเนตรของพระองค์เอง พลางตรัสว่า "เออหนอ นางที่รัก เรายังมิทันจะจากเมืองสมาคันท์ไป ก็มาเป็นได้ถึงเพียงนี้ ทำความอดสูให้ราชสกุลเรายิ่งนัก" ตรัสแล้วก็ชักพระแสงดาบฟันคอทั้งสองขาดกลิ้งอยู่กับที่ด้วยความโกรธ แล้วเสด็จจากพระนคร เข้าป่าพร้อมด้วยข้าราชบริพาร มุ่งตรงไปยังกรุงอิหร่าน

          เมื่อเสด็จมาใกล้กรุ่งอิหร่าน สุลต่านชาห์เรียร์พร้อมด้วยหมู่ราชเสกามาตย์ เสด็จออกมาต้อนรับอนุชาด้วยความยินดี พระเจ้าชาห์เรียร์เสด็จเข้าใกล้ก็ตรงเข้าสวมกอดอนุชาไว้ พลางตรัสปราศัยถามถึงความทุกข์สุขฉันพี่น้อง แล้วพากันเสด็จเข้าพระนคร พระเจ้ากรุงตาตมีทุกข์ถึงมเหสียิ่งนัก หาบันเทิงพระทัยไม่ พระพักต์หม่นหมองไม่เป็นอันเสวยและบรรทม ฝ่ายพระเจ้าชาห์เรียร์ก็มิรู้ที่จะระงับความเศร้าโศกของอนุชาได้ด้วยประการไรถึงแม้พระองค์จะพยายามทุกอย่างที่จะให้อนุชามีความบันเทิงรื่นเริงก็ดี แต่พระเจ้าชาห์เซนันก็หารู้สึกสนุกสนานด้วยไม่ ดูซ้ำจะเพิ่มความระทมทุกข์ถึงมเหสีผู้เป็นที่รักยิ่งขึ้น

          อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าชาห์เรียร์เสด็จออกประพาสป่าล่าเนื้อ เป็นหนทางไกลจากพระนครราวสองราตรี ตรัสชวนอนุชาไปด้วย พระเจ้าชาห์เซนันทูลบิดพลิ้วว่าประชวรมิสามารถจะโดยเสด็จได้จึงประทับอยู่ในพระราชวังทั้งนี้ก็เพราะเป็นทุกข์ไม่สบายพระทัย พระที่นั่งที่พระเจ้าชาห์เซนันประทับอยู่นั้นตรงข้ามกับตำหนักมเหสีพระเจ้ากรุงอิหร่าน ในระหว่างกลางมีอุทยานอันตระการด้วยพรรณไม้ต่างๆ น่าชื่นชม เสียงนกแซ่ซ้องร้องขรมด้วยเป็นเวลาเย็น ลมชวยพวยพุ่งกลิ่นดอกไม้เข้ามาทางพระแกลหอมตลบ ขณะเมื่อพระเจ้าชาห์เซนันประทับอยู่ริมบานพระแกล ผินพักต์ไปทางอุทยานเพื่อทอดพระเนตรสิ่งต่างๆ ให้สร่างทุกข์ระทมที่คลุ้มคลั่งถึงพระมเหสี พอทอดพระเนตรไปทางพรรณพฤกษาน้อยใหญ่เพลินอยู่ ทันใดนั้น ทวารตำหนักมเหสีด้านอุทยานพร้อมด้วยนางกำนัลในยี่สิบนาง สุลนาตาสำคัญใจว่าพระเจ้าชาห์เซนันโดยเสด็จประพาสป่าล่าเนื้อกับพระสวามี นึกอุ่นใจว่าไม่มีใครจะล่วงรู้เห็นความลับ จึงพากันเล่นคะนองอยู่ใกล้พระที่นั่งที่พระเจ้าชาห์เซนันท์ประทับอยู่ ลำดับนั้น เหตุการณ์สำคัญได้เกิดขึ้นต่อพระเนตรพระเจ้าชาห์เซนัน พระองค์แอบทอดพระเนตรเห็นความเป็นไปสิ้นทุกประการ ทีแรกคิดว่าเป็นนางกำนัลในทั้งยี่สิบ แต่พอเปลื้องเครื่องแต่งกายและผ้าคลุมออกแล้ว กลายเป็นชายสิบหญิงสิบครบคู่กันพอดี ฝ่ายสุลตานาเงยพักต์ขึ้นไปทางต้นไม้ใหญ่ พลางตบหัตถ์เรียกว่า มะสูด มะสูด ทันใดนั้นชายดำร่างกำยำล่ำสันต์ก็ไต่ต้นไม้ลงมาหานาง ต่อจากนั้นไปสุลตานาพร้อมด้วยกำนัลในทั้งสิบเข้าจับคู่กับชู้รัก พากันเล่นคะนองหยอดเอินกันอยู่ แล้วก็เข้าแฝงสุมทุมพุ่มไม้เป็นหมู่ๆ สักครู่ใหญ่ชายผู้ชื่อว่ามะสูด พร้อมทั้งชายชู้ของนางกำนัลทั้งสิบก็ผลุดออกทางประตูสวนโดยด่วน รีบปีนกำแพงพระราชวังไป

          
หนังสือมือสอง ขนาด 5 X 7 นิ้ว จำนวน 680 หน้า


แวะชมเล่มอื่นๆ ได้ที่

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตำนานอาณาจักรมนตรา

ตำนานอาณาจักรมนตรา
ความทรงจำของบุปผา พนา และพายุ

ณ อาณาจักรแห่งมนตรา...
สิมาริเมส เด็กสาวผู้งามพิสุทธิ์ดุจบุปผาแรกแย้ม
เนมอส นักรบผู้มั่นคงเช่นไพรพนา
ดอร์มิน ราชันย์ผู้กราดเกรี้ยวดั่งพายุ
...ได้มาพบกันด้วยชะตากรรม...อันนำมาสู่ความพลิกผัน



บทนำ

ความทรงจำของบุปผา


ดวงไฟไหวระริกในครอบแก้วเจียระไน จับร่างบอบบางที่นั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะหิน มือเรียวบางจุ่มปากกาขนนกในแท่นหมึกแล้วจึงจารึกข้อความสุดท้ายด้วยอักษรตวัดบางเบา อ่านทวนให้เรียบร้อยดีก่อนจะยกตะเกียงแก้วมาทับรอให้หมึกแห้ง เม่อนั้นเองที่หญิงสาวถอนหายใจเฮือก เสยผมดำขลับที่ยาวสยายไปด้านหลัง เธอจับผ้าคลุมไหล่จากนั้นจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้าโต๊ะ เหลือบมองชายหนุ่มที่หลับสนิทบนเตียงกว้าง ดึงผ้าห่มที่คลุมร่างเขาให้เรียบร้อย แล้วก้าวไปยังระเบียงหินที่มีผ้าม่านปกคลุมทั้งสองไว้จากมวลสายตาเบื้องนอก

          ผ้าม่านหนาหนักถูกแหวกน้อยๆ ให้ร่างผ่านออกไป สองมือเท้าบนระเบียงขณะนัยน์ตาสีน้ำตาลทองทอดมองฟ้าประดับดาวนิ่งงันเหนือสวนดอกไม้ สายลมบางเบาโชยกลิ่นหอมของดอกไม้อันคุ้นเคยมาสู่ผัสสะ จากไม้พุ่มสูงที่ผลิช่อสีม่วงครามพราวเต็มต้นข้างระเบียง ใกล้ขนาดที่สามารถเอื้อมมือออกไปเด็ดช่อดอกของมันมาโดยง่าย...ผิดกับสิ่งที่ต้องรอมานานนับ ผ่านความทรมานสาหัสจึงจะได้มาเช่นตอนนี้ หญิงสาวก้าวไปใกล้พุ่มไม้นั้น แล้วปลิดกิ่งเรียวบางกิ่งหนึ่งอย่างแผ่วเบาที่สุด บนกลีบดอกเนื้อนุ่มมือราวผ้าแพรชั้นดีมีน้ำค้างพราว บ่งบอกรุ่งสางที่ใกล้มาถึง...การเริ่มต้นของวันใหม่ แต่เป็นจุดจบของเธอกับเขา

          ...จุดจบของสิ่งที่เริ่มต้นจากช่อดอกไม้อย่างเดียวกับที่อยู่ในมือของเธอนี้

          ในความทรงจำของบุปผาจากสถานที่และเวลาอันแสนไกล...มันยืนต้นรับแสงแดด สายลม และสายฝนในสวนมานานกว่าสามสิบปี ตั้งแต่ชายหญิงคู่หนึ่งเข้าพิธีสมรสอาศัยอยู่ในอาณาบริเวณบ้านกว้างขวางซึ่งล้อมรอบสวนนี้ ก่อนที่ทารกตัวเล็กกระจ้อยร่อยจะถูกอุ้มในอ้อมแขนของนายหญิงของบ้าน ต่อมาทารกน้อยนั้นกลายเป็นเด็กหญิงผมดำขลับที่เที่ยววิ่งเล่นในสวน เด็ดดอกไม้หลากสีรายรอบมันมาร้อยเล่นเป็นสายสร้อยและมงกุฎ ส่วนช่อดอกสีม่วงครามของมันนั้นเธอไม่อาจเอื้อมถึง แต่ก็อ้อนขอคนสวนช่วยเก็บให้นับหลายครั้ง

          และต่อมาอีก เด็กหญิงก็กลายเป็นเด็กสาว เธอไม่วิ่งเล่นหัวเราะเสียงดังอีกแล้ว แต่ก้สวย่างอย่างสำรวม และแย้มรอยยิ้มบางๆ อยู่เป็นนิจ เธอไม่เด็ดดอกไม้เล่น แต่จะตัดหรือปลิดแต่ละกิ่งอย่างระมัดระวัง รวบรวมใส่ตะกร้าที่คล้องแขนเพื่อนำไปจัดใส่แจกันให้สวยงาม แขกเรื่อที่มายังบ้านแห่งนี้ล้วนชื่นชมความงามของดอกไม้ และช่อดอกไม้ที่เด็กสาวจัดบนระเบียงรับรองแขก ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากต้นของมันนัก

          ในเช้าวันหนึ่ง คนรับใช้ของบ้านตระเตรียมอาหารและปัดกวาดระเบียงตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นฟ้าดี เด็กสาวเองก็มาเก็บดอกไม้อย่างพิถีพิถัน รวมทั้งดอกสีครามจากต้นไม้เก่าแก่ ไม่นานดอกไม้เหล่านี้ก็ปรากฏในแจกันเขียนลายสวยสด ประดับบนโต๊ะหินเตรียมรับรองแขกนั่นเอง

          แขกในวันนั้นมีคนเดียว เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงผึ่งผายมีสง่า เขาพูดคุยกับนายของบ้านเป็นเวลานานเบื้องหน้าช่อดอกไม้ ก่อนจะสังเกตเห็นเด็กสาวคนจัดผู้นำเครื่องดื่มมารับรองตามธรรมเนียม ในวันถัดมา เขาเห็นเธอที่ใต้ร่มต้นไม้ดอกสีม่วงครามในยามสาย และช่วยเด็ดช่อดอกไม้แสนสวยที่เธอเอื้อมไม่ถึงส่งให้กับมือของเธอ เมื่อชายหนุ่มถามว่าดอกไม้นี้ชื่ออะไร เด็กสาวก็ตอบแผ่วเบาแทบเป็นกระซิบพร้อมกับเสหลบอย่างขวยเขิน ทั้งสองได้พบปะพูดคุยกันอีกหลายครั้งใต้สายตาของดอกไม้ หลังจากนั้นเขาแวะเวียนมาแทบมิได้ขาด จะมีหายไปก็ช่วงที่คนในบ้านกระซิบกระซาบถึง "สงคราม" นานนับเดือน ทว่าในที่สุดชายหนุ่มก็กลับมา เอ่ยถ้อยคำอันสำคัญยิ่งต่อเด็กสาวใต้ร่มเงาต้นไม้

          ไม่นานต่อมาก็มีวันที่ดอกของมันหลายช่อใหญ่ถูกตัดไปประดับทั่วอาณาบริเวณบ้านใรพิธีการเล็กๆ อันเรียบง่าย แต่แล้ววันหนึ่งชายหนุ่มก็ต้องบอกลาเธอใต้ร่มเงาไม้ และอีกวันหนึ่งก็มีคนรับใช้วิ่งกระหืดกระหอบมาแจ้งข่าวบางอย่าง

          ...ข่าวที่ทำให้เด็กสาวร่ำไห้แทบขาดใจ และชายหนุ่มก็ไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว

          นับจากวันนั้น เด็กสาวเอาแต่สวมชุดสีดำ ร่ำไห้หลั่งน้ำตารดต้นไม้ราวกับต้องการให้มันกลืนกินความทุกข์โศกของเธอมาแปรกลายเป็นโลหิตหล่อเลี้ยง ทว่าต้นไม้ก็ไม่อาจผลิดอกได้ในเหมันต์ สัปดาห์หนึ่งผ่านไป เด็กสาวยิ่งร่ำไห้หนักหลังจากที่คนกลุ่มหนึ่งมายังบ้านของเธอพร้อมม้วนกระดาษติดพู่ทองดูสูงค่า วันต่อมาเธอยังคงสวมชุดสีดำ ตัดกับใบหน้าของเธอที่ซีดเผือดและดวงตาช้ำแดง เดินอย่างคนไร้วิญญาณผ่านต้นของมันไปสู่รถม้าหรูหราที่จอดรออยู่  เด็กสาวเหลือบมองต้นไม้ดอกสีม่วงครามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนก้าวขึ้นพาหนะ และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายของความทรงจำของบุปผาถึงเธอเช่นกัน

          บ้านที่มันอยู่แปรเปลี่ยนไป ทุกคนเศร้าหมองราวกับวิญญาณของพวกเขาจากไปตามเด็กสาว ไม่นานนายผู้ชายและนายผู้หญิงผู้ชราก็อันตรธานไปทั้งคู่ ไม่เหลือใครแวะเวียนมาอีก หญ้าและวัชพืชขึ้นรกครึ้มสวน แต่ต้นไม้กลับฉมเฉา อย่าว่าแต่ดอกสีม่วงครามลึกล้ำเลย กระทั่งใบมันยังไม่เหลือกำลังจะผลิอีกแล้ว

          ขณะที่ครามตายของมันเข้ามาใกล้นี่เอง เงาร่างที่มันคุ้นเคยก็กลับมาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งสุดม้าย มิใช่เด็กสาว มิใช่นายท่านและนายหญิงของบ้านที่ปลูกมันขึ้นมา แต่เป็นชายหนุ่มที่ผ่ายผอมลง แต่งกายมอซอ และมีหนวดเครารกครึ้ม เขาเดินไปในสวนช้าๆ พลางกวาดตามองไปรอบๆ ราวกับมองหาสิ่งที่ตนสูญเสียไป ก่อนจะมาหยุดยืนใต้กิ่งก้านไร้ใบราวโครงกระดูก

          ทว่าต้นไม้ไม่อาจบอกเขาได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับบ้านหลังนี้และเด็กสาว สุดท้ายเขาก็จากไป ทิ้งต้นไม้เดียวดายให้รอความตายเพียงลำพัง...กับความทรงจำที่ใกล้เลือนรางจางหาย........

หนังสือมือสอง ขนาด 5.5 X 8 นิ้ว จำนวน 404 หน้า


แวะชมเล่มอื่นๆ ได้ที่


วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปริศนาสมบัติอัศวิน

"ปริศนาสมบัติอัศวิน"

อาเคอร์ ค.ศ. 1291 ขณะที่เมืองกำลังถูกเพลิงเผาผลาญภายใต้การโจมตีของทหารแห่งองค์สุลต่าน เรือฟอลคอนเทมเปิล แล่นออกจากท่าโดยบรรทุกอัศวินกลุ่มหนึ่งพร้อมหีบลึกลับที่นายใหญ่แห่งคณะมอบหมายให้อยู่นความดูแล แต่แล้วเรือลำนี้กลับหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย

นิวยอร์ก ยุคปัจจุบัน ชายสี่คนแต่งกายชุดอัศวินเท็มปลาร์ขี่ม้าบุกจู่โจมเข้าไปในพิธีเปิดนิทรรศการสมบัติวาดิกัน ณ พิพิธ๓ณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิตัน และชิงเครืองถอดรหัสจากยุคกลางไป ส่งผลให้ฌอน ไรล์ลี สายลับเอฟบีไอ กับนักโบราณคดีสาว เทส เชย์กิ้น ต้องเข้าสู่เกมไล่ล่าที่มีอันตรายถึงชีวิตกับกลุ่มนักฆ่าผู้ไร้ความปราณี ขณะที่เดินทางข้ามสามทวีปเพื่อติดตามหาที่พักพิงสุดท้ายของเรือฟอลคอนเทมเปิล และความจริงเกี่ยวกับสิ่งของลึกลับบนเรือที่จะสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด


^
^
^
ความนำจากหนังสือ

อาเคอร์, ราชอาณาจักรละตินแห่งเยรูซาเลม ค.ศ. ๑๒๙๑

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ล่มแล้ว

          ความคิดนั้นเฝ้าแต่รุมเร้ามาร์แตงแห่งการ์โมซ์ ความจริงอันเด็ดขาดโหดร้ายนั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าฝูงนักรบที่กรูผ่านช่องว่างในกำแพงเข้ามา เขาั้ดิ้นรนปิดกั้นความคิดนั้น พยายามผลักไสมันออกไป นี่ไม่ใช่เวลามาคร่ำครวญ เขายังมีภาระต้องทำ ยังมีคนต้องไปฆ่า ดาบใบกว้างเขาเงื้อขึ้นสูง เขาบุกตะลุยฝ่ากลุ่มฝุ่นและควันทึบ พุ่งเข้าหาแถวศัตรูที่กรูเกรียวกันเข้ามา พวกมันหลั่งไหลไหทุกที่ ดาบโค้งและขวานฟันฝ่าเข้าไปในเนื้อ เสียงโห่ร้องทำนองศึกของพวกมันดังเสียดฝ่าจังหวะต่อเนื่องของกลองที่เบื้องนอกกำแพงป้อม

          เขาฟาดฟันดาบลงด้วยกำลังทั้งหมด ผ่ากระโหลกชายผู้หนึ่งแยกไปถึงนัยน์ตา ใบดาบของเขากระดอนถอนคืนมาเมื่อพุ่งเข้าหาศัตรูคนต่อไป เมื่อเหลือบตาไปทางขวาแวบหนึ่ง ก็เห็นเอมารด์แห่งวิลลิเยรส์เสอกดาบเข้าสู่อกคู่ต่อสู้อีกคนหนึ่งก่อนจะมุ่งสู่ศัตรูคนต่อไป ในยามที่มึนเมาไปกับเสียงโหยหวนเจ็บปวดและเสียงคำรามเกรี้ยวกราดรอบๆ ตัวนั้น มาร์แตงรู้สึกว่ามีคนคว้ามอซ้ายของตนไว้ เขารีบใช้ปุ่มด้านดาบถองมันออกไปก่อนฟาดฟันปลายดาบลง รู้สึกได้ว่ามันตัดผ่านกล้ามเนื้อและกระดูก เขาสัมผัสได้จากปลายหางตาว่ามีสิ่งมุ่งร้ายอยู่ใกล้ทางด้านขวา และสะบัดดาบใส่โดยสัญชาตญาณ มันเล่นผ่าผ่านท่อนแขนส่วนบนของผู้บุกรุกอีกคน ก่อนจะกรีดเฉือนแก้มและตัดลิ้นมันออกในดาบเดียว

          นานนับหลายชั่วโมงแล้วที่เขาและเหล่าสหายร่วมรบไม่เคยได้รู้พักรามือการบุกของพวกมุสลิม ใช่แต่จะไม่หยุดยั้งเท่านั้น แต่ร้ายกาจเกินกว่าที่คาดไว้เสียด้วย ลูกศรและก้อนดินเพลิงโปราปรายเข้าสู่เมืองติดต่อกันมาหลายวันก่อให้เกิดเพลิงไหม้มากกว่าที่จะจัดการได้ทัน ในระหว่างนั้นคนของสุลต่านก็ขุดหลุมใต้กำแพงใหญ่เพื่อยัดเศษกิ่งไม้เข้าไปเป็นเชื้อจุดไฟ มีหลยจุดที่เตาหลอมชั่วคราวเช่นนี้อบกำแพงจนปริแตกและต้องทลายลงใต้ห่ากระสุนหิน ด้วยกำลังใจมั่นเพียงอย่าีงเดียวเท่านั้นที่เหล่าอัศวินเทมปลาร์และอัศวินฮอสปิทาลเลอร์สามารถยันการจู่โจมที่ประตูเซนต์แอนโทนี่ไว้ได้ ก่อนจะจุดไฟเผาประตูและล่าถอยมา แต่ทว่าหอคอยต้องสาปก็กระทำหน้าที่ได้สมนาม ปล่อยให้เหล่าซาราเซ็นที่พลุ่งพล่านได้เข้าสู่เมืองและพบจุดจบ

           เสียงกรีดตะโกนอย่างทุกข์ทรมานถูกกลืนหายไปในเสียงโห่ร้องสับสน เมื่อมาร์แตงกระชากดาบกลับและเหลียวมองหาสิ่งที่พอจะจุดความหวังได้อย่างจนตรอก แต่ในใจเขาไม่เหลือความสงสัยใด ไม่มีวี่แววความหวัง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ล่มแน่แล้ว ในความหวาดผวาที่ยิ่งทวีขึ้น เขาก็ตระหนักแน่แก่ใจว่าทุกคนต้องพลีชีพก่อนสิ้นคืนนี้แน่ พวกเขากำลังประจันกับกองทัพใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบ และแม้ว่าความเกรี้ยวกราดและความร้อนรนยังแล่นพล่านอยู่ในเส้นเลือด แม้เขาและเหล่าภราดายังทุ่มเทความอุตสาหะ แต่ชะตาของพวกเขาก็ถูกกำหนดให้ล้มเหลวอย่างแน่นอนแล้ว

          และไม่นานเหล่าผู้บังคับบัญชาของเขาก็ตระหนักข้อนี้เช่นกัน หัวใจเขาตกวูบเม่อได้ยินเสียงเป่าเขาครั้งสำคัญที่สั่งให้อัศวินแห่งวิหารที่ยังรอดเหลืออยู่ละทิ้งแนวป้องกันเมืองเสีย ดวงตาของเขาที่เหลือบมองซ้ายขวาอย่างคลุ้มคลั่งสับสนได้สบตากับเอมารด์แห่งวิลลิเยรส์อีกครั้ง ในนั้นเขาเห็นความระทมทุกข์และความละอายเฉกเช่นเดียวกันแผดเผาอยู่ ทั้งสองตะลึยฝ่าฝูงคนสับสนเคียงข้างกัน หาทางกลับสู่หมู่ตึกเทมปลาร์ที่ยังปลอดภัยกว่าจนได้

         มาร์แตงติดตามอัศวินผู้อาวุโสกว่าที่จ้ำผ่านกลุ่มพลเรือนผู้หวาดหวั่นที่มาหลบภัยกันอยู่หลังกำแพงเมืองมหึมา ภาพที่รอพวกเขาอยู่ในห้องโถงใหญ่ยิ่งน่าตระหนกกว่าการเข่นฆ่าที่ได้เห็นมาเบื้องนอก ผู้ที่นอนอยู่บนโต๊ะอาหารรวมเนื้อหยาบนั้นคือวิลเลี่ยมแห่งโบเฌอ นายใหญ่ของเหล่าอัศวินแห่งวิหาร ปีเตอร์แห่งเซอวรีย์ผู้เป็นจอมทัพยืนอยู่เคียงข้างพร้อมพระสองรูป สีหน้าเศร้าสลดของทั้งสามไม่เปิดช่องให้สงสัยสิ่งใดได้อีก เมื่ออัศวินทั้งสองรุดไปข้างกาย ตาของโบเฌอก็เบิกขึ้นและยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย การเคลื่อนไหวเช่นนั้นทำให้เขาต้องคลางออกมาอย่างเจ็บปวด มาร์แตงจ้องมองเขา นิ่งอั้นด้วยความไม่อยากเชื่อ ผิวหนังของชายชราเผือดซีดไร้สีสัน ดวงตาแดงก่ำด้วยสายเลือด มาร์แตงรีบไล่สายตาไปตามร่่างของโบเฌอ พยายามเข้าใจภาพตรงหน้า และก็ได้เห็นลูกดอกติดขนนกโผล่ออกมาจากด้้านข้างซี่โครง นายใหญ่กำก้านลูกดอกไว้ในมือ อีกมือหนึ่งกวักเรียกเอมารด์ซึ่งก้าวเข้าไปใกล้ คุกเข่าลงข้างกายและกุมมอเขาไว้ด้วยมือทั้งสอง

          "ถึงเวลาแล้ว" ชายชราเปล่งเสียงออกมาจนได้ แม้จะแฝงความเจ็บปวดและอ่อนแรง แต่ก็ชัดเจน "จงไปเดี๋ยวนี้ ขอพระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองเจ้า" ถ้อยคำเหล่านั้นเพียงลอยผ่านหูมาร์แตงไป สิ่งที่้เขาสนใจกลับเป็นสิ่งอื่น มุ่งตรงอยู่กับสิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ในทันทีที่โบเฌออ้าปากขึ้น ลิ้นของเขาที่กลับกลายเป็นสีดำนั่นเอง ความเกลียดชังและความโกรธเกรี้ยวท่วมท้นถึงคอหอยมาร์แตงเมื่อเขาตระหนักรู้ว่านั่นเป็นผลจากลูกดอกอาบยาพิษ ผู้นำแห่งคนทั้งหลายผู้นี้ ชายผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีอิทธิพลครอบครุมชีวิตอัศวินหนุ่มทุกด้านมาตลอดนับตั้งแต่จำความได้ ไม่ต่างจากตายไปแล้วเลย

          เขาสังเกตเห็นโบเฌอเหลือบตาขึ้นมองเซอวรีย์และผงกหัวเล็กน้อยแทบมองไม่ออก เซอวรีย์ขยับไปที่ปลายโต๊ะและเลิกผ้าคลุมกำมะหยี่ขึ้นเผยให้เห็นหีบใบเล็กประดับประดางดงามกว้างไม่เกินสามช่วงฝ่ามือ มาร์แตงไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน เขามองดูด้วยความทึ่งอยู่เงียบๆ เมื่อเอมารด์ลุกขึ้น จ้องมองหีบนั้นอย่างเคร่งขรึมแล้วหันกลับมามองโบเฌอ ชายชราประสานสายตาเขาก่อนหลับตาลงอีกครั้ง ลมหายใจติดขัดบ่งวาระสุดท้าย เอมารด์ก้าวไปหาเซอวรีย์และสวมกอดเขาไว้ ก่อนจะยกหีบใบเล็กนั้นขึ้นมาและมุ่งหน้าเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะเหลือบทองกลับมา เม่อเดินผ่านมาร์แตงเขาเพียงแต่กล่าว "มา"

          มาร์แตงลังเล เหลือบตามองโบเฌอแล้วมองเซอวรีย์ซึ่งผงกหัวเป็นเชิงสำทับ เขาเร่งฝีเท้าตามหลังเอมารด์ไป และไม่ช้าก็รู้ตัวว่าไม่ได้มุ่งหน้าเข้าหาศัตรู พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังท่าเรือป้อม

          "เราจะไปที่ใดกัน" เขาตะโกนถาม

          เอมารด์ไม่ชะงักฝีเท้าเลย "เรือ ฟอลคอนเทมเปิล รอเราอยู่ เร็วเข้า" ฝีเท้ามาร์แตงสะดุดหยุดลง ความคิดสับสนปั่นป่วน เราจะจากไปรึ เขารู้จักเอมารด์แห่งวิลลิเยรส์มานับตั้งแต่มรณกรรมของบิดาผู้เป็นอัศวินเช่นกันกับเขาเมื่อสิบห้าปีก่อนหน้านั้น เมื่อครั้งที่มาร์แตงอายุยังไม่ครบห้าขวบดี นับแต่นั้นเอมารด์ก็เป็นผู้ปกครองเขา เป็นครูเขา เป็นวีนบุรุษของเขา ทั้งสองรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายศึก และมาร์แตงเชื่อว่าทั้งคู่ควนจะยืนหยัดเคียงข้างกันและกันเมื่อจุดจบมาถึง แต่ไม่ใช่เช่นนี้ นี่มันวิปริต นี่มัน...หนีทัพ เอมารด์ก็หยุดเช่นกัน แต่เพียงเพื่อคว้าไหล่มาร์แตงและผลักให้เขาเดินเท่านั้น "เร่งเร็วเข้า" เขาสั่ง

          "ไม่" มาร์แตงร้องลั่น ปัดมือเอมารด์ออกจากร่าง

          "มา" อัศวินผู้แก่วัยกว่ายันคำเดิมห้วนๆ

          มาร์แตงรู้สึกถึงความคลื่นเหียนที่ล้นมาถึงคอหอยใบหน้าเกรี้ยวกราดขณะเค้นหาถ้อยคำ "ข้าจะไม่ละทิ้งภราดาของเรา" น้ำเสียงเขาขาดเป็นห้วง " มิใช่บัดนี้...ไม่มีวัน!"

          เอมารด์ถอนใจอย่างหนักอกและเหลือบมองกลับไปยังเมืองที่ถูกล้อมกระสุนเพลิงถูกยิงเป็นแนวโค้งอยู่ในท้องฟ้าราตรี พุ่งตกลงในเมืองจากทุกทิศทาง เขายังถือหีบใบเล็กไว้มั่น หันกลับและก้าวเข้ามาหาอย่างดุดันก้าวหนึ่งจนใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่นิ้ว มาร์แตงมองเห็นน้ำตาที่สะกดกลั้นไว้ชุ่มอยู่ในดวงตาของสหาย "เจ้าคิดว่าข้าอยากทอดทิ้งพวกเขารึ" เขากระซิบดุดัน น้ำเสียงดังเสียดหู "หรือทอดทิ้งนายของเรา...ในห้วงวาระสุดท้าย เจ้าย่อมรู้จักข้าดีกว่านั้นแน่"

          ความคิดของมาร์แตงพลุ่งพล่านสับสน "ถ้าเช่นนั้น...ทำไมกัน"

          "สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำนี้สำคัญเกินกว่าการสังหารพวกหมาบ้านั่นเพิ่มอีกไม่กี่ตัวมากนัก" เอมารด์ตอบอย่างเคร่งขรึม "เป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อความอยู่รอดของคณะเรา เป็นเคร่องตัดสินว่าเราจะสามารถดูแลให้ทุกสิ่งที่เราทุ่มเทมาไม่จบสิ้นลงที่นี่เช่นกันหรอไม่ เราต้องไปในบัดนี้" มาร์แตงเผยอปากจะท้วง แต่สีหน้าของเอมารด์นั้นมั่นคงแน่วแน่ มาร์แตงก้มหัวยอมรับอย่างไม่เต็มใจห้วนๆ และตามไป

          เรือลำเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ที่ท่าคือ ฟอลคอนเทมเปิล เรือลำอ่นแล่นใบออกไปตั้งแต่ก่อนการบุกจู่โจมของพวกซาราเซ็นจะตัดการสัญจรไปสู่ท่าเรือหลักของเมืองเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนแล้ว เรือลอยลำเพียบต่ำอยู่ในน้ำ บรรทุกทาสภราดานายกองและอัศวินอยู่เต็มลำแล้ว คำถามต่างๆ เฝ้าผุดพราลขึ้นมาในสมองของมาร์แตง แต่เขาไม่มีเวลาจะเอ่ยถามแม้แต่คำเดียว เมื่อทั้งสองไปถึงท่าเขาก็ได้เห็นตัวนายเรือ กะลาสีชราที่เขารู้จักเพียงในนามฮิวจ และรู้เช่นกันว่าเป็นผู้ได้รับความนับถือจากนายใหญ่อย่างยิ่ง ชายร่างบึกบึนผู้นั้นกำลังมองดูกิจกรรมยุ่งเหยิงวุ่นวายจากดาดฟ้าเรือ มาร์แตงไล่ดูลำเรือจากดาดฟ้าทางท้ายเรือ ผ่านเสากระโดงสูง ไปถึงส่วนหัวเรือที่ตอนปลายเป็นรูปสลักนกกินเนื้อท่าทางดุร้ายที่เหมือนมีชีวิตยิ่งนัก

          เสียงเอมารด์แผดลั่นไปยังนายเรือโดยไม่หยุดเดิน "ขนน้ำและอาหารลงเรือหรือยัง"
 
          "เรียบร้อย"

          "เช่นนั้นก็ทิ้งที่เหลือและกางใบเดี๋ยวนี้"

         เพียงเวลาไม่กี่นาที สะพานขึ้นเรือก็ถูกดึงขึ้น เชือกโยงเรือถูกโยนขึ้นแล้วเรือ ฟอลคอนเทมเปิล ก็ถูกลากออกจากท่าโดยฝีพายในเรือยาวลำเล็กประจำเรืออีกไม่นานนักนายทาศก็ร้องสั่ง แลพหมู่ทาสฝีพายเรือยาวปีนป่ายขึ้นบนดาดฟ้าแล้วดึงเรือยาวขึ้นมามัดไว้ ในเสียงฆ้องดังทุ้มเป็นจังหวะและเสียงคำรามของฝีพายในโซ่ตรวนจำนวนกว่าร้อยห้าสิบคนนั้น เรือก็เร่งความเร็วและออกพ้นจากกำแพงใหญ่ของหมู่ตึกเทมปลาร์

          เมื่อเรืออกสู่ทะเลเปิด ลูกศรก็โปรยปรายลงมาราวห่าฝน ส่วนทะเลรอบๆ ก็เดือดพล่านขึ้นเป็นฟองขาวระลอกใหญ่ เพราะหน้าไม้และเครื่องยิงกระสุนของสุลต่านต่างพุ่งเป้าไล่ตามเรือที่กำลังจะหนีจากไป ในไม่ช้าเรือก็ออกพ้นระยะยิง มาร์แตงยืนขึ้น เหลือบมองกลับไปยังผืนแผ่นดินที่กำลังถอยห่างออกไป พวกนอกศาสนาเรียงแถวกันอยู่ตลอดแนวกำแพงเมือง โห่ร้องเยาะเย้ยมาที่เรือเสมือนทำกับสัตว์ในกรง ถัดจากนั้นเข้าไปคือนรกที่กำลังเดือด สะท้านสะเทือนไปด้วยเสียงตะโกนและกรีดร้องของเหล่าชายหญิงและเด็ก ตัดกับเสียงคำรามลั่นไม่หยุดยั้งของกลองศึก

          เรือค่อยเร่งเร็วขึ้นช้าๆ ด้วยแรงเสริมจากลมนอกชายฝั่ง แถวพายยกขึ้นและจุ่มลงเหมือนปีกเรียผิวน้ำที่ค่อยๆ ดำมืดลง ที่แนวขอบฟ้าไกลๆ นั้น ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำน่าหวาดหวั่น

          ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว

          มอเขายังสั่นสะท้านและหัวใจหนักอึ้ง มาร์แตงแห่งการ์โมซ์ค่อยๆ ฝืนใจหันหลังให้แผ่นดินเกิดและจ้องมองไปยังพายุที่รอพวกเขาอยู่เบื้องหน้า......


หนังสือมือสอง ขนาด 5X7 นิ้ว

ปริศนาสมบัติอัศวิน

แวะชมเล่มอื่นๆ ได้ที่

books~4~you ร้านหนังสือมือสองของคนชอบอ่าน

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

The Bourne Legacy จารชนคนมหากาฬ

คาลิด มูรัต ผู้นำกบฎชาวเชชเนีย นั่งนิ่งเป็นหินอยู่ในรถคันกลางขบวนคุ้มกัน เคลื่อนที่ผ่านถนนที่โดนระเบิดถล่มในเมืองกรอซนี รถหุ้มเกราะ รุ่น BTR-60BP เคลื่อนย้ายกำลังพลมาตรฐานทางการทหารรัสเซีย มันส่งเสียงกระหึ่มเหมือนรถคันอื่นๆ ที่แล่นลาดตระเวนอยู่ในเมือง

          คนของมูรัตติดอาวุธครบมือนั่งอยู่ในรถอีกสองคัน คันหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกคันหนึ่งอยู่ด้านหลังกำลังมุ่งหน้าไปยังฮอสพิทัลนัมเบอร์ ไนน์ หนึ่งในที่ซ่อนหกหรือเจ็ดแห่งของมูรัต ซึ่งทำให้เขานำหน้ากองกำลังรัสเซียที่ออกไล่ล่าเขาอยู่สามก้าวเสมอ

          มูรัตมีเคราดำ อายุเฉียดห้าสิบ ร่างใหญ่ดุจหมี ประกายแห่งความทะเยอทะยานลุกโชนในแววตา เขาเรียนรู้มาว่า ผู้มีอำนาจเด็ดขาดเท่านั้นจึงจะปกครองประเทศได้ เขาได้เข้าร่วมเมื่อโจคาร์ ดูดาเยฟ ได้ประกาศยกเลิกกฏหมายอิสลาม เขาได้เห็นการฆ่ากันเพ่อล้างแค้นตั้งแต่เริ่มต้น

          เมื่อแม่ทัพชาวเชชเนียผู้ชั่วช้า สหายต่างชาติของโอซามะ บิน ลาเดน บุกเข้าไปในเขตปกครองอิสระ ดาเกสฐาน และปฏิบัติการวางระเบิดในมอสโก และวอลโกดอนสค์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตสองร้อยคน เมื่อกล่าวโทษว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้ายชาวเชชเนีย พวกรัสเซียก็เริ่มถล่มเมืองกรอซนี เมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง

          ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงของเชชเนียมืดสลัว ฟุ้งไปด้วยเถ้าถ่าน แสงไฟลุกโชติช่วงแดงฉานคล้ายกัมมันตภาพรังสี ไฟที่ติดจากเชื้อเพลิงนำมันลุกไหม้อยู่ตามกองซากปรักเกือบทุกแห่ง คาลิดมองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่ขบวนรถแล่นผ่านซากตึกและอาคารจำนวนมาก ภายในอาคารมีเปลวไฟโลมเลียไปทั่ว เขาคำรามอย่างเจ็บแค้นหันมาทาง ฮาซาน อาร์เซนอฟ รองผู้บังคับบัญชา และพูดว่า "ครั้งหนึ่งกรอซนีเคยเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับบรรดาคู่รัก ตามถนนมีต้นไม้อยู่สองข้าง แม่ๆ จะเข็นรถเข็นเด็กข้ามจัตุรัสที่เต็มไปด้วยใบไม้เขียวชอุ่ม คณะละครสัตว์ขนาดใหญ่มีคนดูที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจนแน่นขนัดทุกคืน พวกเขาจะตระเวนไปแสดงตามที่ต่างๆ ทำให้กรอซนีกลายเป็นเมืองที่สวยงามที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง  เขาส่ายหัวอย่างเศร้าสลด ตบเข่าของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยท่าทีของเพื่อนสนิท "ข้าแต่อัลเลาะห์ ฮาซาน" เขาร้อง

          "ดูที่พวกรัสเซียมันบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนอันสวยงามแห่งนี้สิ" ฮาซานพยักหน้าเห็นด้วย เขาเป็นคนกระฉับกระเฉง แข็งขัน เป็นลูกน้องของมูรัตมาสิบปีเต็ม เคยเป็นแชมป์กีฬาไบแอธลอน ไหล่กว้าง สะโพหแคบเหมือนกับนักกรีฑาทั่วไป เมื่อมูรัตขึ้นเป็นผู้นำกบฎ เขาก็ตามมา เขาชี้ให้มูรัตดูตึกที่ไฟไหม้ซึ่งอยู่ทางด้านขวาของขบวนรถ

          "ก่อนเกิดสงคราม" เขาพูดด้วยท่าทางขึงขัง "พ่อผมเคยทำงานให้สถาบันน้ำมันตอนที่กรอซนียังเป็นศูนย์กลางการกลั่น ตอนนี้แทนที่เราจะได้กำไรจากสิ่งที่มี เรากลับมีแต่เปลวเพลิงที่ก่อมลภาวะสภาพแวดล้อม" ตึกรามบ้านช่องที่ผ่านไปทำให้พวกเขานิ่งงัน ถนนอันว่างเปล่าปลอดภัยสำหรับพวกเก็บขยะ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ หลังผ่านไปหลายนาที พวกเขาก็หันมามองหน้ากัน ความเจ็บปวดที่ประชาชนได้รับแสดงออกมาทางสายตา มูรัตขยับริมฝีปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกกลบด้วยเสียงปืนกระทบตัวรถ

^
^
^
^
มูรัตกัดหูเขาจนเกือบขาด เขาค่อยๆ ใจเย็นลงมืออย่างรอบคอบ จับรอบๆ คอของมูรัตและจ้องเข้าไปในตา จิกหัวแม่โป้งเข้าไปตรงกระดูกอ่อนบริเวณคอหอยที่อยู่ต่ำกว่าคอหอยเล็กน้อยของผู้นำชาวเชชเนีย เลือดพุ่งออกมาบริเวณส่วนหน้าของลำคอ หายใจไม่ออก หมดเรี่ยวแรง ฟาดแขนเปะปะ มือของเขาฟาดลงบนหน้าและหัวของมือสังหาร แต่ไม่มีประโยชน์ มูรัตกำลังสำลักเลือดตาย ปอดของเขาเต็มไปด้วยเลือด ลมหายใจหนักและขาดช่วง อาเจียนออกเป็นเลือด ตาเหลือกขึ้นดานบน เขาปล่อยร่างที่กัปลกกะเปลี้ย มือสังหารปีนกลับไปที่เบาะหน้า เหวี่ยงศพคนขับออกไป เข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งก่อนทหารที่เหลือจะทำอะไรได้

รายละเอียดเพิ่มเติม

จารชนคนมหากาฬ

หรือแวะชมเล่มอื่นๆ ได้ที่

books~4~you ร้านหนังสือมือสองของคนชอบอ่าน




วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ท้าวทองกีบม้า

"ท้าวทองกีบม้า"

คึกเดช กันตามระ

'มารี' กุลสตรีบุตรเจ้าคุณฟ้านิด ชะตาชีวิตเสริมส่งให้เป็นถึง ท่านผู้หญิงวิชาเยนทร์
...ทว่า สูงสุด คืนสู่สามัญ
รับราชการด้วยความจงรักภักดี ขยัน อดทน ซื่อสัตย์สุจริต
ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เป็นเจ้าตำรับผมไทย
สมกับฉายาที่ใครๆเรียกกันว่า
'คุณท้าวทองกีบม้า'


ท้าวทองกีบม้า เป็นฉายานามของท่านผู้หญิงวิชาเยนทร์ต้นตำรับทำขนมไทย ประเภท ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สังขยา และขนมอื่นๆอีกมากมาย เรื่องราวสำคัญของนางเกิดขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายร์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ราวพุทธศักราช 2225-2229 เมื่อครั้งคณะราชทูตฝรั่งเศสเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี โดยการนำของ เชอวาลิเอ เดอ โชมงต์ เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์น นางมีหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานวิเสท ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับ

          นอกจากจะมีฝีมือทำอาหารที่หาตัวจับยากแล้ว ยังมีความงามเลอเลิศ และมีความสามารถในด้านภาษา แต่ชีวิตมาอับเฉาลงในบั้นปลาย เพราะเกิดจากผลกระทบทางการเมืองที่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ผู้เป็นสามีได้ก่อกระทำไว้

          ชีวิตของนางน่าสนใจ เป็นลูกครึ่งโปรตุเกสและญี่ปุ่น ดังจดหมายของนางที่เขียนไปถึง บิชอป อาร์ตุส เดอ ลิออนซ์ ณ เมืองมาเก๊า ให้ท่านบิชอปช่วยทวงเงินค่าหุ้นที่สามีทำการค้าร่วมกับบริษัทฝรั่งเศสประจำภาคพื้นอินเดียตะวันออก ในสารเล่าว่า เวลานางจะไปในที่ชุมชนแห่งใดในกรุงศรีอยุธยาก็ไปเยี่ยงราชินี และเล่าถึงชีวิตในบั้นปลายที่ต้องทำงานถวายตรากตรำ ยามหลับนอนไม่มีที่นอนพิเศษอันใด คงแอบพักนอนที่มุมห้องพระเครื่องต้น ต้องคอยระวังรักษาเฝ้าห้องพระเครื่องต้น ด้วยเพราะเป็นคนซื่อสัตย์จึงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้ทำหน้าที่นี้

          และเพราะนางเป็นคนดี อยู่ในศีลสุจริต มีอายุยืนยาวถึงแปดสิบปีจึงสิ้นอายุไข ชีวิตดำเนินไปถึงสี่แผ่นดิน ตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณมหาราช พระเพทราชา สมเด็จพระเจ้าเสือ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ซึ่งผู้อ่านจะได้รับความรู้ด้านประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของนางโดยละเอียด

       

มือสองสภาพดี 90% มีลายเซ็นด้านใน ขนาด 5.5X8 นิ้ว จำนวน 713 หน้า

ท้าวทองกีบม้า

แวะชมเรื่องอื่นๆ ได้ที่

books~4~you ร้านหนังสือมือสองของคนชอบอ่าน

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

PIECE OF MY HEART -- Peter Robinson


Let sleeping bodies lie

At first, she appeared to be a remnant of the Festival: a beautiful girl with a painted cornflower blooming on her cheek, sleeping off the excess of the night before. It's the summer of 1969, but it seems not all the revellers had peace and love on their minds.

Four decades on, Chief Inspector Banks is called from his dinner to a far bloodier scene. A stranger has been murdered in a remote village, and before Banks can begin to uncover the motive he must first identify the body. Nothing is straightforward in this case, and soon he is on a path of discovery that leads back into the past: to a murder in the summer of 1969 that everyone had though long-since solved...


Monday, 8 September 1969

To an observer looking down from the peak of Brimleigh Beacon early that Monday morning, the scene below might have resembled the aftermath of a battle. It had rained briefly during the night, and the pale sun coaxed tendrils of mist from the damp earth. They swirled over fields dotted with motionless shapes, mingling here and there with the darker smoke of smouldering embers. Human scavengers picked their way through the carnage if collecting discarded weapons, occasionally bending to extract an object of value from a dead man's pocket. Others appeared to be shovelling soil or quicklime into large open graves. The light wind carried a whiff of rotting flesh.

          And over the whole scene a terrible stillness reigned.

          But to Dave Sampson, down on the field, there had been no battle, only a peaceful gathering, and Dave had the worm's-eyes view. It was just after eight a.m., and he had been up half the night along with everyone else, listening to Pink Floyd, Fleetwood Mac and Led Zeppelin. Now the crowd had gone home, and he was moving among the motionless shapes-litter left by the vanished hordes - helping to clean up after the very first Brimleigh festival. Here he was, bent over, back aching like hell, eyes burning with tiredness, plodding across the muddy field picking up rubbish. The eerie sounds of Jimmy Page playing his electric guitar with a violin bow still echoed in his mind as he shoved Cellophane wrappers and half-eaten Mars bars into his plastic bag.

          Ant and beetles crawled over the remains of sand-wiches and half-empty tins of baked beans. Flies buzzed around the faces and wasps hovered about the necks of empty pop bottles. More than once, Dave had to manoeuvre sharply to avoid being stung. He couldn't believe some of the stuff  people left behind. Food wrappers, soggy newspapers and magazines, used Durex, tampons, cigarette ends, knickers, empty used Durex, tampons, cigarette ends, knickers, empty beer cans and roaches you'd expect, but what on earth had the person who left the Underwood typewriter been thinking of? Or the wooden crutch? Had a cripple, suddenly healed by the music, ru off and left it behind?

          There were other things, too, things best avoided. The marketshift toilets set over the open cess-pit had been uninviting, as well as few and far between, and the queues had been long, encouraging more than one desperate person to find a quiet spot elswhere in the field. Dave glanced towards the craters and felt glad that he wasn't one of the volunteers assigned to fill them with earth.

          In an otherwise isolated spot at the southern edge of the field, where the land rose gently towards the fringes of Brimleigh Woods, Dave noticed an abandoned sleeping-bag. The closer he got, the more it looked to be occupied. Had someone passed out or simply gone to sleep? More likely, Dave thought, it was drugs. All night the medical tent had been open to people suffering hallucinations from bad acid, and there had been enough Mandrax and opiated hash around to knock out an army. 

          Dave prodded the bag with his foot. It felt soft and heavy. He prodded it again, harder this time. Still nothing. It definitely felt as if someone was inside. Finally, he bent and pilled the zip, and when he saw what was there, he wished he hadn't

ส่วนหนึ่งจากหนังสือ มือสอง ขนาด 4 X 7 นิ้ว จำนวน 530 หน้า


Piece of My Heart

แวะชมเล่มอื่นๆ ได้ที่

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

LEFT HANDED LAW

Alamo Bowie had carried the law as special agent for Wells Fargo. He had matched guns with the fastest in the Southwest-and at forty years old, he was the one still standing. Now a tall grey man on a big red horse, he still carries the "twins" that have served him well over the years. Some believe Alamo Bowie has been out of the game too long-that he no longer has what it tales.


^
^
^
^
^
^
^

          "Not bad," Yuma Leslie murmured, and his own right hand swept down to the tilted handle on his thigh. Two shots ripped out and blended like one, and Buddy Bowie set his teeth when he saw another whipping body tilt down over the blank.

          "Usually, you will find two where you see one rattler," Leslie murmured.

          Alamo Bowie was watching closely with eyes narrowed to slits. He saw the second snake stop suddenly and strike with its headless body. Saw the supple wrist swivel when Yuma Leslie seated the smoking gun back in holster leather without looking down. While Mary Jane caught her breath and stepped close to her brother with a pleading look in her wide blue eyes.

          Buddy Bowie jerked under her touch like a small body determined to have the last word. Then he checked himself abruptly and stared at the smiling face of Leslie.

          "I hated buzzards, and I don't like snakes," and his eyes were frosty with challenge.

          "That's what Mary Jane was telling me," the slender cowboy answered with a smile. "You've had a good teacher, cowboy."

          Buddy Bowie shrugged. "That goes for you, too," he answered quietly. "Like as not, I'd know him by his handle if you was to mention his name."

          Yuma Leslie shrugged carelessly. "I watched them all," he answered lightly. "Wyatt Earp, the Clantons, and Buckskin Frank. Just picked up my own style as I went along."
          
          Alamo Bowie leaned forward to listen. None of the three named had a style like this yearling stranger. Grey eyes studied the tilted handle with head shaking negatively.

          "There was one gent packed his cutter something like the way you wear yores," he said slowly. "But he's been dead nearly ten years."

          Yuma Leslie turned swiftly. "This muerte hombre?' he rapped sharply, and waited for the answer.

          "Three-Finger Jack," and the voice of Alamo Bowie was flinty. "But there is only one man alive who pitched'em the way you do when yore iron clears leather!"

          Yuma Leslie tried to smile while he studied the hard face. He knew he was under scrutiny, and he glanced from Buddy Bowie to the high-breasted girl at his left. 

          "I'd admire to know," he murmured softly. "You mind telling a man about this other buscadero?'

          Alamo Bowie stared for a long moment. "Long-coupled jigger who writes poetry every times he sticks up a stage or does him a killing." he answered plainly. "On the Wanted Posters they label him 'Black Bart'. He throws down like you do!"

          Yuma Leslie shrugged lightly with a little smile in his dark eyes. "I've heard of him," he admitted. "Fast as chain lighting, and he did a lot of time in prison over on the coast. The law caught up with him back about ten years like you said."

          Buddy Bowie turned slowly and stared at Alamo. the gaunt grey gun-fighter was watching the face of Yuma Leslie intently. With head craned forward and eyes glittering with suppressed excitement. While his right hand reached up and rubbed the withered muscles of the left arm hanging at his side.

          "Black Bart made a get-way," Alamo Bowie stated quietly. "He'd be forty-odd now." Fairly rapid with his tools, but like as not he's all stove up by now!"

           His face showed disappointment for a brief stranger when the dark stranger agreed with him. "Like as not," Yuma Leslie murmured. "A gent can't stay young all his life."

          "You wouldn't know," Bowie grunted sharply. "You have never been anything but young!"

          "That's right," the dark cowboy agreed quickly. "Agent ain't young but once. You mind if I ride over to the B Bar G to see Mary Jane once in a while?"

          Alamo Bowie loosed his muscles then and stood at ease. He glanced at the flushed face of his adopted daughter. Mary Jane was tall for a girl, with a rounded full-breasted figure. Strong arms and shoulders from roping and riding, and now her blue eyes darted to Alamo's face and tried to read his thoughts.

           "Mary Jane is her own man," Bowie said softly, but the change in his deep voice of his affection for the pretty girl. "Reckon you will have to ask her, Leslie."

          "Might be better for you to wait until folks know you better," Buddy cut in gruffly. "Being my only sister, I kinda ride herd on Mary Jane!"

          "Buddy," the girl pleased softly. "Please!"

          "He's right," Yuma Leslie interrupted. "I'd feel the same way about it myself. No hard feeling, cowboy."
            He stepped up and offered his hand with a friendly smile. Buddy Bowie caught his breath ad stared at the strong slender fingers. The he reached out and gripped...with his left hand.

          "I'd kill a man who hurt Mary Jane," he muttered thickly.





ดูรายละเอียดได้ที่

LEFT-HANDED LAW


หรือแวะชมหนังสือเล่มอื่นๆ ได้ที่

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

The Da Vinci Code; Dan Brown


Prologue

Louvre Museum, Paris

10:46 P.M.

Renowned curator Jacques Saunière staggered through the vaulted archway of the museum's Grand Gallery. He lunged for the nearest painting he could see, a Caravaggio. Grabbing the gilded frame, the seventy-six-year-old man heaved the masterpiece toward himself until it tore from the wall and Saunière  collapsed backward in a heap beneath the canvas.

          As he had anticipated, thundering iron gate fell nearby, barricading the entrance to the suite. The parquet floor shook. Far off, an alarm began to ring.

          The curator lay a moment, gasping for breath, taking stock. I am still alive. He crawled out from under the canvas and scanned the cavernous space for someplace to hide.

          A voice spoke, chillingly close. "Do not move."

          On his hands and knees, the curator froze, turning his head slowly.

          Only fifteen feet away, outside the sealed gate, the mountainous silhouette of his attacker stared through the iron bars. He was broad and tall, with ghost-pale skin ad thinning white hair. His irises were pink with dark red pupils. The albino drew a pistol from his coat and aimed the barrel through the bars, directly at the curator. "You should not have run." His accent was not easy to place. "Now tell me where it is."

          "I told you already," the curator  stammered. kneeling defenseless on the floor of the gallery. "I have no idea what you are talking about!"

          "You are lying." The man stared at him, perfectly immobile except for the glint in his ghostly eyes. "You and your brethren possess something that is not yours."

          The curator felt a surge of adrenaline. How could he possibly know this?

          "Tonight the rightful guardians will be restored. Tell me where it is hidden, and you will live." The man leveled his gun at the curator's head. "Is it a secret you will die for?"

          Saunière could not breathe.

          The man titled his head, peering down the barrel of his gun.

          Saunière held up his hands in defense. "Wait," he said slowly. "I will tell you what you need to know." The curator spoke his next words carefully. The lie he told was one he had rehearsed many times...each time praying he would never have to use it.

          When the curator had finished speaking, his assailant smiled smugly. "Yes. This is exactly what the others told me."

          Saunière recoiled. The others?

          I found them, too," the huge man taunted. "All three of them. They confirmed what you have just said."

          It cannot be! The curator's true identity, along with the identities of his three sénéchaux, was almost as sacred as the ancient secret they protected. Saunière now realized his sénéchaux, following strict procedure, had told the same lie before their own deaths. It was part of the protocol.

          The attacker aimed his gun again. "When you are gone, I will be the only one who knows the truth."

          The truth. In an instant, the curator grasped the true horror of the situation. If I die, the truth will be lost forever. Instinctively, he tried to scramble for cover.

          The gun roared, and the curator felt a searing heat as the bullet lodged in his stomach. He felt forward...struggling against the pain. Slowly, Saunière rolled over and stared back through the bars at his attacker.


          The man was now taking dead aim at Saunière's head. 

          Saunière closed his eyes, his thoughts a swirling tempest of fear and regret.

          The click of an empty chamber echoed through the corridor.

          The curator's eyes flew open.

          The man glanced down at his weapon, looking almost amused. He reached for a second clip, but then seemed to reconsider, smirking calmly at Saunière's gut. "My work here is done."

          The curator looked down and saw the bullet hole in his white linen shirt. It was framed by a small circle of blood a few inches below his breastbone. My stomach. Almost cruelly, the bullet had missed his heart. As a veteran of La Guerre d’Algérie, the curator had witnessed this horribly drawn-out death before. For fifteen minutes, he would survive as his stomach acids seeped into his chest cavity, slowly poisoning him from within.

          "Pain is good, monsieur," the man said.

          Then he was gone.

          Alone now, Jacques Saunière turned his gaze again to the iron gate. He was trapped, and the doors could not be reopened for at least twenty minutes. By the time anyone got to him, he would be dead. Even so, the fear that ow gripped him was a fear far greater than that of his own death.

          I must pass o the secret.

          Staggering to his feet, he pictured his three murdered brethren. He thought of the generations who had come before them...of the mission with which they had all been entrusted.

          An unbroken chain of knowledge

          Suddenly, now, despite all the precautions...despite all the fail-safes....Jacques Saunière was the only remaining link, the sole guardian of one of the most powerful secrets ever kept.

          Shivering, he pulled himself to his feet.

          I must find some way.....

          He was trapped inside the Grand Gallery, and there existed only one person o earth to whom he could pass the torch. Saunière gazed up at the walls of his opulent prison. A collection of the world's most famous painting seemed to smile down on him like old friends.

          Wincing in pain, he  summoned all of his faculties and strength. The desperate task before him, he knew, would require every remaining secod of his life.



 ดูรายละเอียดได้ที่

หรือแวะชมหนังสือเล่มอื่นๆ ได้ที่