Get Paid To Draw

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

หินก้อนที่ห้า


การเจรจาสันติภาพหลายครั้ง
มักเริ่มต้นด้วยความตึงเครียด
ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะเราไม่รู้วิธีเริ่มต้นที่จะปล่อยวาง
ปลดปล่อยความตึงเครียดที่อยู่ในใจเขาให้ได้ก่อน
โดยวิธีการเจริญสติ
เราต้องฝึกฟังอย่างลึกซึ้ง และใช้วาจาแห่งความรัก
"การฟังอย่างลึกซึ้ง" ธรรมะข้อนี้ไม่มีการสอน
แต่เราต้องฝึกให้ได้




ในจักรวาลนี้
ที่เรียกว่าผืนแผ่นดิน  ต่างมีความทุกข์
ขณะเดียวกันก็มีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง
พระพุทธองค์กำเนิดบนผืนโลก
เพื่อทำให้โลกนี้มีความทุกข์น้อยลง
ครั้งหนึ่ง  พระพุทธองค์กล่าวถึงความงดงามของแผ่นดินกับพระอานนท์ว่า....
ภูเขาลูกนั้นงดงามมาก  เราไปปีนเขากันเถอะ
“เรา”
ในฐานะที่เป็นศิษย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราต้องดำเนินชีวิต  เพื่อให้ชีวิตนั้นเป็นไปได้ในดินแดนแห่งลูกหลาน
ที่ผ่านมา  เราทำลายทรัพยากรบนผืนแผ่นดินมากมาย
เราทำให้อากาศเป็นพิษ  ทำลายป่าไม้
ใช้ยานพาหนะมากมาย  ทำให้เราเผชิญความร้อนของโลกที่เพิ่มขึ้น
และดินฟ้าอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงบนโลกนี้
แท้จริงแล้ว  เราไม่ได้มีความรัก  ความเมตตาต่อพระพุทธองค์
เพราะเราไม่มีความกรุณา
เรามีความอยาก  ความกระหาย  ความรุนแรง
ที่เรากระทำต่อผืนแผ่นดินนี้
เราทำให้ลูกหลานอยู่กันอย่างยากลำบาก
ในวันวิสาขบูชา
เรามักจะไปวัดเพื่อถวายธูปเทียนต่อพระพุทธเจ้า
แต่ฉันคิดว่า  พระพุทธองค์คงอยากให้เราปฏิบัติมากกว่า
ปฏิบัติเจริญสติ  สมาธิและความเข้าใจ
สติคือพลังที่ทำให้เราเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราและสิ่งรอบๆ ตัวเรา
รอบข้างเรามีความโกรธ  ความกลัว  และความสิ้นหวังเช่นเดียวกัน
ด้วยความตระหนักรู้
ขอให้เราหยุดทำลายพื้นโลก  และทำให้โลกมีความทุกข์น้อยลง
                                                                --ติช  นัท  ฮันห์--
                ดังที่หลวงปู  นัท  ฮันห์  มักกล่าวย้ำเตือนให้ผู้ฝึกปฎิบัติ  เรียนรู้วิธีสื่อสารกับผู้อื่น  จำเป็นต้องมีการฟังอย่างลึกซึ้ง  ด้วยความเมตตากรุณา  เมื่อเราฝึกที่กระทำเช่นนี้  เราจะมองเห็นว่าเมื่อใครคนใดคนหนึ่งมีความทุกข์มากมายเราสามารถที่จะรับฟังเขา  เราก็จะเป็นคนหนึ่งที่จะช่วยเขาให้ปลดปล่อยออกจากความทุกข์นั้นได้
                ฟังดูเหมือนการฝึกปฏิบัติเช่นนี้จะเป็น “คำตอบ” ในการดูแลความสัมพันธ์ระหว่างตัวเราและบุคคลอื่น  ซึ่งเราดูจะละเลยต่อการกระทำเช่นนี้มาโดยตลอด  เพราะเพียงแค่เรารับฟังอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง  หรือไม่มีความคิดที่พยายามยัดเยียดต่อเขา
                “...พระอวโลกิเตศวร  ท่านมีความเมตตามหาศาล  ท่านฟังอย่างลึกซึ้งต่อความทุกข์ของปวงชนทั้งหลาย  หากเรามีความสามารถที่จะรับฟังความทุกข์ของเขาได้  บุคคลเหล่านั้นจะมีความทุกข์น้อยลง  ขอเชิญทุกท่านดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ  อย่าปล่อยให้เราถูกลากพาไปในอดีต  อย่าปล่อยให้เราถูกลากพาไปในความกังวล  ถ้าเรามีความเคร่งเครียดในใจขอให้ปลดปล่อยความเคร่งเครียดออกไป  แล้วให้บทสวดมนต์แผ่ซ่านลงไปในใจเรา”
               
“...พลังแห่งสติจะโอบล้อมความเศร้า  แล้วให้เราผ่านมันไปได้  ถ้ามีใครสักคนที่เรารักไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้ เราสามารถฟังบทสวดอย่างลึกซึ้งแล้วส่งไปยังคนๆ นั้น  พระโพธิสัตว์จะแผ่ความรักความเมตตาไปยังคนๆ นั้นด้วย  ขอให้ทุกท่านมีความสุข”




 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

หรือแวะชมหนังสือเล่มอื่นๆ ได้ที่


วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

Atlantis;David Gibbins แอตแลนติส

DAVID GIBBINS   เขียน

ทศ เย็นชื่น          แปล

อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่เคยครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก  บรรดาผู้ปกครองอาศัยอยู่ในป้อมปราการที่มีขนาดมโหฬารตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล  ทางเดินอันวกวนยาวเหยียดที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน  พวกเขาเป็นนักประดิษฐ์ที่ชาญฉลาดเกี่ยวกับทองและงาช้าง รวมทั้งยังเป็นนักสู้วัวที่ห้าวหาญ 
แต่แล้ว  เมื่อไม่ยอมจำนนต่อโพไซดอน  เทพแห่งท้องทะเล 
ด้วยการเกิดน้ำท่วมใหญ่เพียงครั้งเดียว  ป้อมปราการจึงถูกกลืนหายลงไปสู่ใต้ท้องมหาสมุทร  และไม่มีใครพบเห็นประชาชนของอาณาจักรนี้อีกเลย  นับแต่นั้นเป็นต้นมา

“ผู้บัญญัติกฎหมาย  สิ่งที่ข้าบอกเจ้า  มันต้องอยู่ที่นี่  ไม่ใช่ที่อื่น”  เอเมนโฮเทปพูดเป็นเสียงกระซิบพลางเคาะศีรษะตนเองช้าๆ ด้วยนิ้วมือที่โค้งงอ  “จากประกาศิตอันเก่าแก่  บรรดาข้าคือนักบวชชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถละทิ้งวิหารแห่งนี้  บรรดาข้าต้องเก็บความรู้เหล่านี้ไว้เป็นสมบัติของเรา  เพียงเพราะคำสั่งของคณะโหราจารย์ ผู้ทำนายประจำวิหารเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้  โดยความมุ่งหวังบางอย่างจากเทพโอซิริสผู้เป็นเจ้า”  นักบวชชราโน้มตัวไปด้านหน้า  รอยยิ้มเป็นนัยแต้มอยู่บนริมฝีปาก  “ผู้บัญญัติกฎหมาย  จงจำไว้ว่า  ข้ามิได้พูดเป็นปริศนาเหมือนคำทำนายของพวกเจ้าชาวกรีก  แต่อาจมีปริศนาอยู่ในสิ่งที่ข้าเทศนา  ข้าพูดถึงความจริงที่ผ่านมาแล้ว  มิใช่ความจริงจากการคิดค้นของตัวข้าเอง  นี่เป็นการมาเยือนครั้งสุกท้ายของเจ้า  บัดนี้ไปได้แล้ว”  เมื่อใบหน้าที่เหมอนคนตายถอยสู่ความมืด  โซลอนค่อยๆ ลุกยืน  ลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วจึงหันกลับไปมองเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนจะเดินค้อมตัวออกสู่ห้องอาลักษณ์  ซึ่งบัดนี้มีเพียงความว่าเปล่า  มุ่งหน้าไปยังทางเข้าที่ตามคบไฟไว้

แคทยากรีดร้องเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แจ็คเอื้อมมือคว้าตัวเธอไว้ไม่ให้หันไปมองแต่ก็ช้าไปเสียแล้วพื้นโยกตัวไปมาจากการสั่นไหวรุนแรงแรงระเบิดได้กลายเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดผลกระทบของแผ่นดินไหว  อัสลันถูกดูดเข้าไปในปากปล่องด้วยแรงเหวี่ยงจากศูนย์กลาง  ความรู้สึกของเขาชั่วแวบหนึ่งแสดงให้เห็นถึงการรับรู้อย่างเต็มเปี่ยมของคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย  เป็นเพียงครั้งเดียวที่ยอมรับด้วยความประหลาดใจและตกตะลึง  ก่อนที่ร่างของเขาจะลุกไหม้อยู่ในเปลวเพลิงเหมือนรูปบูชาที่กำลังทำลายตัวเอง  ความร้อนอันรุนแรงของไอละอองเผาไหม้ชุดคลุมและละลายเนื้อหนังของเขา  จนเหลือให้เห็นเพียงกระดูกมอทั้งสองข้างและโครงกระดูกสีขาว  พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่เสียดแทงหัวใจนั้น  ซากร่างของเขาล้มคะมำแล้วปลิวร่วงลงสู่หุบเหวลึก  กลายเป็นลูกไฟของร่างมนุษย์ที่ถูกกลืนหายไปตลอดกาลในนรกของภูเขาไฟ

สายธารแห่งความตายรับเหยื่อรายสุดท้ายของมันไปแล้ว



มือสองสภาพดี 95% ขนาด 6X8 นิ้ว จำนวน 583 หน้า






ดูรายละเอียดได้ที่

หรือแวะชมหนังสือเล่มอื่นๆ ได้ที่

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

THE BURMA LEGACY; Geoffrey Archer

Fifty-five years after the end of World War Two, the Burmese jungles still holds bloody secrets...

When wealthy businessman and former Japanese POW interrogator Tetsu Kamata offers to make reparation for abusing his Allied prisoners, he is recognised by former POW Peregrine Harrison. Harrison never got over his maltrestment at Kamata's hands and has dreamed of  killing him ever since. Now he has his chance.

M16 officer Sam Packer is diverted from his hunt for an ex-SAS drug trader and given the order to stop Harrison. The search takes him deep into Harrison's past and to the poppy fields of the Golden Triangle. To save Kamata from execution Packer must penetrate an alien and hostile world, a quest which brings him face to face with the very drug lords who have sworn to kill him...


Friday, 31 December

Millennium Eve


Sam was woken by the daylight streaming in though the cabin window. Instantly alert, he sat up and peered out, fearing their neighbour might have slipped away in the night. But the Estelle was still there.

          He swung his legs to the floor and listened. Rigging pinged against a mast nearby, signifying a breeze. Its sound triggered a yearning to be under sail.

          The space where Midge had lain was empty. He found her in the galley making coffee, still wearing the tee-shirt and briefs she'd slept in. The sight of her neat behind and slim brown thighs as she stuck bread under the grill brought him fully awake.

          'Been up long?' He rubbed his eyes. The bulkhead clock said 7.15

          'Half the bloody night. You were snoring like a walrus.'

          'Sorry.'

          'How does Julie put  up with it?'

          'Elbows me in the ribs and I turn over. If you hadn't been so against laying your hands on my body...'

          'Yeah, yeah...'

          'Any sign of life next door?'

          'Nope.' She turned and looked quizzically at him. 'Who d'you reckon sleeps with whom over there?'

          'Jimmy has Jan,' said Sam firmly.

          'You'd think. Only he's not getting any. That guy was gagging for it last night. Ad why itch to make out with me if he had that little Thai poppet to play with?'

          'Maybe you've got a better bum.'

          She raised a contemptuous eyebrow. 'Seriously, I don't get the impression Jan's his playmate. She's more like a minder.'

          'And Vicky?'

          'Does the cooking-and anything else Nige wants. Looks to me like he found her in some bar. Not a very classy bar at that.'

          'Thai police have anything o them?'

          'Nothing useful. They tailed Jimmy to the airport, which is where Jan joined him. But they don't know who she is. The name on her ticket didn't fit anything on official records.'

          'So,' Sam murmured, taking the coffee Midge offered him, 'where do we go from here, Inspector?'

          'Whatever happens, we stick with him.'

          'And if he doesn't tell us where he's going.'

          Then I'll have to make it clear I just can't bear to be parted from him.' She set her jaw, her eyes steely with determination.

          After they'd breakfasted and tidied the saloon, she handed him the wrench he'd used on the engine.

          'I found this on the floor. Don't want to nag, but it probably has a home.'

           'Leave it by the cooker and I'll put it away in a while.'

          They washed, put on short and fresh tee-shirts, then went on desk to top up the water tank from a hose on the pontoon.

          It was well after nine before Squires made an appearance, leaning over the rail of the Estell's sundeck. When he spoke, there was a coolness to his voice that made them both uneasy.

          'Off short, are you?'

          'We were just talking about that,' Sam hedge. 'What about you?'

          'The girls have gone shopping. Nige and I plan to relax until they get back. He's still in his pit, lazy bugger. Then we'll see. Might go north to Phang Nga, maybe over to Phi-Phi. Jan's got a friend visiting today.'

          Sam's antennae twitched. There'd been no mention of a visitor last night.

          'We still going to be able to toast the Millennium with you guys tonight?' Midge checked, stepping onto the foredeck and spreading out a towel to lie on.'

          'Maybe.' As Squires watched her apply cream to her legs, he smiled like a man who's spotted a trap but who reckoned falling into it might be rather pleasurable. He turned his attention to Sam again. 'By the way, Steve, I was interested in what you were saying last night.'

          There was something distinctly disingenuous about the way Squires said it.

          'Anything in particular?'

          'How you preserve confidentiality when you're hiding clients' money...'

          It was as if Squires was testing him on his cover story, but he played along. No alternative. He talked about nominee holding and anonymous accounts. Squires listened hard, putting in questions every few minutes.

          'Interested for yourself?' Sam queried

          The drug trader half-smiled and shook his head. 'For a friend.'

          A charade, but it couldn't be him that ended it. As he turned to enter the saloon Squires called after him.

          'While you're at it, give me one of Beth's too.'

          Sam rummaged in his bag for the visiting cards they'd printed the previous day. Then he felt the boat rock slightly. He looked through the window. Jimmy Squires had come aboard. Midge had sat up and was making room for him on the deck.

           Sam re-emerged with the cards in his hand. Midge shot him at glare that said to leave her to get o with her seduction, so he climbed up to the bridge and pretended to busy himself with charts and the pilot book. Over on the Estelle Nige had surfaced. He was facing away from them, his eyes on the shore. Sam followed his gaze and saw the women returning. Squires had spotted them too and was hunching forward in anticipation.

          Jan's 'friend' turned out to be male. An oriental, dressed in a while polo shirt and dark trousers. He strode purposefully towards them, scowling at their foredeck as if there was something seriously amiss there which needed dealing with immediately.

          Sam sensed things were about to go horribly wrong. He saw the alarm on Midge's face and watched her pull her knees to her chest in an instinctive move to protect herself. He guessed she'd recognised the man. 

          By the time he'd clattered down to the deck, Squires was on his feet. Midge too, clutching the towel to her chest.

          'Scuse me a minute...' she whispered, trying to slip away.

          Squires hooked an arm round her and pinned her to his side.

          'Don't disappear, darlin'. This bloke spends a lot of time in Singapore. You'll have things to talk about.'

          The man approaching them looked more Chinese than Thai. A hard, square face with slicked back hair. He marched along the line of boats like a military commander, a small leather attache case under his arm.

          Midge began to panic. 'Get off me!' she snapped, struggling to escape Squires' grip. But the drug-runner had no plans to let her go.

          Sam sprang forward and wrenched Squires' arm from her shoulders. Midge ducked away and stumbled across the deck towards the saloon. The former soldier bunched his fists.

          'I don't know who the fuck you two jokers are, my friend...' He raised his right hand as if to give it to Sam full on the nose, but instead the fingers formed into the shape of a pistol which he jabbed against the middle of his forehead. 'But if I come across you again, you're dead!'

          Holding his gaze for a couple of seconds, he turned away and hopped onto the pontoon, a hand snaking out to greet his guest.

          Sam ducked inside the saloon, heart pounding. Midge was scrabbling through lockers. 'Handset...' she hissed. 'Where the fuck's the...?'

          Sam pilled the police radio from a drawer and gave it to her

          'Tell me...'

          'Know his face.' She turned the set on. 'From photos in the files. Works for Yang Lai, the guy I was telling you about. Golden Triangle. He's number two or three in the organisation. Name's Hu Sin. And for some reason I can't explain, the bastard seems to know me.'

          From outside there was an explosive roar as the Estelle's engines started up. Sam heard feet on the deck and spun round.

          Hu Sin filled the doorway. In his hand was a gun, its barrel extended by a silencer.

          Sam stopped breathing. Midge had the handset to her mouth, but couldn't speak, transfixed by the pistol levelled at her head.

          Packer backed against the galley counter, remembering the wrench they'd left on the worktop. Fingers closing round its shaft, he lunged forward, cracking it down on Hu Sin'a arm.

          The man yelped and the gun clattered to the floor. Midge unfroze and made a dive for it. His face twisting with pain, Hu Sin spun round and fled the saloon. The policewoman grappled with the pistol and took aim.

          'Leave him!' Sam snapped. He's not the one you want.

          They heard the clunk of feet on the finger pontoon as mooring lines were freed. Then the engine noise declined as the Estelle reversed from the berth.

          'Fuck!' Midge hissed. 'Fuck, fuck, fuck!'

          'How does he know you?' Sam growled, furious at coming so close to death for a cause she'd told him so little about.

          'I don't know...' she howled. Then she caught herself, put a fist to her mouth and closed her eyes. She'd remembered.

          Through the wide stern window of the saloon they saw the Estelle accelerate away. Jimmy Squires was at the wheel. On the cruiser's aft deck Jan and Hu Sin stood side by side, the man talking on a mobile phone, the woman clicking with a long-lensed camera.

          Sam turned his face away. Theirs was a photos album he had no wish to grace.....



หนังสือมือสอง ขนาด 6 X 9 นิ้ว







ดูรายละเอียดได้ที่


หรือแวะชมหนังสือเล่มอื่นๆ ได้ที่

The Final Detail; Harlan Coben

Myron Bolitar screwed up. He was supposed to be protecting a woman. Instead, he fell in love with her-and then she died. So he's dropped out, and run away to the Caribbean to escape his guilt. But now everything has come back to hunt him.

Esperanza Diaz, his closest friend, is in trouble. Murder trouble. The victim is one of Myron's own clients, and the case seems to be watertight. It's inconceivable that Esperanza is involved, but she is refusing to deny it. So, in order to help his friend, Myron must battle for her freedom - against her own wishes...

Myron lay sprawled next to a knee-knockigly gorgeous brunette clad only in a Class-B-felony bikini, a tropical drink sans umbrella in one hand, the aqua clear Caribbean water lapping at his feet, the sand a dazzling white powder, the sky a pure blue that could only be God's blank canvas, the sun as soothing as rich as a Swedish masseur with a sifter of cognac, and he was intensely miserable.

          The two of them had been on this island paradise for, he guessed, three weeks, Myron had not bothered counting the days. Neither, he imagined, had Terese. The island seemed as remote as Gilligan's - no phone, some lights, no motorcar, plenty of luxury, not much like Robinson Crusoe, and well, not as primitive as can be either. Myron shook his head. You can take the boy out of the television, but you can't take the television out of the boy.

          At the horizon's midway point, slicing toward them ad ripping a seam of white in the aqua-blue fabric, came the yacht. Myron saw it, and his stomach clenched.

          He did not know where they were exactly, though the island did indeed have a mane: St Bacchanals. Yes, for real. It was a small patch of planet, owned by one of those mega-cruise lines that used one side of the island for passengers to swim and barbecue and enjoy a day on their 'own personal island paradise.' Personal. Just them ad the other twenty-five hundred turistas squeezed onto a short stretch of beach. Yep, personal, bacchanallike.

          This side of the island, however, was quite different. There was only this one home, owned by the cruise line's CEO, a hybrid between a thatched hut and a plantation manor. The only person within a mile was a servant. Total island population: maybe thirty, all of whom worked as caretakers hired by the cruise line.

          The yacht shut off its engine and drifted closer.

          These Collins lowers her Bolle sunglasses and frowned. In three weeks no vessel except the mammoth cruise liners - they had subtle names like the Sensation or the Ecstasy or the G Spot - had ambled past their stretch of sand.

          'Did you tell anybody where we were?' she asked.

          'No.'

          'Maybe it's John.'

          John was the aforementioned CEO of said cruise line, a friend of Terese's.

          'I don't think so,' Myron said.

          Myron had first met Terese Collins, well, a little more than three weeks ago. Terese was 'on leave' from her high-profile job as prime-time anchorwoman for CNN. They both had been bullied into going to some charity function by well-meaning friends and had been immediately drawn to each other as though their mutual misery and pain were magnetic. It started as a little more than a dare: Drop everything and flee. Just disappear with someone you found attractive and barely knew. Neither backed down, and twelve hours later they were in St Maarten. Twenty-four hours after that they were here.

          For Myron, a man who had slept with a total of four women in his entries life, who had never really experienced one-night stands even in the days when they were fashionable or ostensibly disease-free, who had never had sex purely for the physical sensation and without the anchors of love or commitment, the decision to flee felt surprisingly right.

          He had told no one where he was going or for how long-mostly because he didn't have a clue himself. He'd called Mom and Dad and told them not to worry, a move tantamount to telling them to grow gills and breathe underwater. He's sent Esperanza a fax and gave her power of attorney over MB SportsReps, the sports agency they ow partnered. He had not eve called Win.

          Terese was watching him. 'You know who it is.'

          Myron said nothing. his heartbeat sped up.

          The yacht came closer. A cabin door in the front opened, and as Myron feared, Win stepped out the deck. Panic squeezed the air around him. Win was not one for casual drop-bys. If he was here, it meant something was very wrong. 

          Myron stood. He was still too far to yell, so he settled for a wave. Win gave a small nod.

          'Wait a second.' Terese said. 'Isn't that the guy whose family owns Lock-Horne Securities?'

          'Yes.'

          'I interviewed him once. When the market plunged. He has some long, pompous name.'

          'Windsor Horne Lockwood the Third.' Myron said.

          'Right. Weird guy.'

          She should only know.


          'Good-looking as all hell,' Terese continued, 'in that old-money, country-club, born-with-a-silver-golf-club-in-his-hands kinda way.'

          As though on cue, Win put a hand through the blond locks ad smiled.

          'You two have something in common,' Myron said.

          'What's that?'

          'You both think he's good-looking as all hell.'

          Terese studied Myron's face. 'You're going back.' There was a hint of apprehension in her voice.

          Myron nodded. 'Win wouldn't have come otherwise.'

          She took his hand. It was the first tender moment between them in the three weeks since the charity ball. That might sound strange-lovers alone on an island, the sex constant, who had never shared a gentle kiss or a light stroke or soft words - but their relationship had been about forgetting and surviving: two desperate souls standing in the rubble with no interest in trying to rebuild a damn thing.

          ^
          ^
          ^ 
          ^

          'What happened, Win?'

           He did not answer, choosing instead to sit o a chaise longue and ease back. He put his hands behind his head and crossed his ankles. 'I'll say this for you. When you decide to wig out, you do it in style.'

          'I didn't wig out. I just needed a break.'

          'Uh-hmm.' Win locked off, and a realization smacked Myron in the head: He had hurt Win's feelings. Strange but probably true. Win might be a blue-blooded, aristocratic sociopath, but hey, he was still human, sort of. The two ma had been inseparable since college, yet Myron had run off without even calling. In many ways Win had no one else.

          'I meant to call you,' Myron said weakly. Win kept still.

          'But I knew if there was a problem, you'd be able to find me.' That was true. Win could find a Hoffa needle in a Judge Crater hay-stack.

          Win waved a hand. 'Whatever.'

          'So what's wrong with Esperanza?'

          'Clu Haid.'

          Myron's first client, a right-handed relief pitcher in the twilight of his career. 'What's about him?'

          'He's dead,' Win said.

          Myron felt his legs buckle a bit. He let himself land o the chaise.

          'Shot three times in his own abode.'

          Myron lowered his head. 'I thought he'd straightened himself out.'

          Win said nothing.

          'So what does Esperanza have to do with this?'

          Win looked at his watch. 'Right about now,' he said, 'she is in all likelihood being arrested for his murder.'

          'What?'

          Win said nothing again. He hated to repeat himself.

          'They think Esperanza killed him?'

          'Good to see your vacation hasn't dulled your sharp powers of deduction.' Win tilted his face toward the sun.

          'What sort evidence do they have?'

          'The murder weapon, for one. Bloodstains. Fibers. Do you have any sunblock?'

          'But how...?' Myron studied his friend's face. As usual, it gave away nothing. 'Did she do it?'

           'I have no idea.'

          'Did you ask her?'

          'Esperanza does not wish to speak with me.'

          'What?'

          'She does not wish to speak with you either.'

          'I don't understand,' Myron said. 'Esperanza wouldn't kill anyone.'

          'You're quite sure about that, are you?'

          Myron swallowed. He had thought that his recent experience would help him understand Win better. Win had killed too. Often, in fact. Now that Myron had done likewise, he thought that there would be a fresh bond. But there wasn't. Just the opposite, in fact. Their shared experience was opening a whole new chasm.

          Win checked his watch. 'Why don't you go get packed?'

          'There's nothing I need to bring.'

          Win motioned to the house. Terese stood there, watching them silently. 'The say good-bye to La Derriere and let's be on our way.'

          

          
หนังสือชุด ไมรอน โบลิทา หนังสือมือสอง ขนาด 4 X 7 นิ้ว จำนวน 344 หน้า

       

ดูรายละเอียดได้ที่

หรือแวะชมหนังสือเล่มอื่นๆ ได้ที่

Whirlwind;James Clavell's

Whirlwind

Author     James Clavell's

แปล        สุวิทย์   ขาวปลอด












มหากาพย์แห่งสงครามและสันติภาพนี้ มีเรื่องราวชวนระทึกใจของชายและหญิงผู้พัวพันกับนักลอบสังหาร สายลับ ข่าน คอมมานโด เคจีบี ซีไอเอ ศาสนาและการเมืองในแผ่นดินร้อนระอุด้วยไฟแค้น

นิยายอันร้ายกาจนี้ดึงคุณเข้าสู่ ลมวนของความรัก ความแค้น ความป่าเถื่อน และความระทึกใจของวีรบุรุษ


เมื่อกระสุนชุดแรกสาดใส่เฮลิคอปเตอร์ หนุ่มสก็อท กาวัลแลนนักบินตกตะลึงตัวแข็งทื่อวูบหนึ่ง ตาเบิ่งรูในแผ่นพลาสติกตรงหน้า     “คุณพระช่วย...”     ไม่เคยถูกยิงใส่แบบนี้มาก่อน เล่นเอาหมอผวาขนาดหนัก แต่คำพูดของนักบินถูกกลบด้วยเสียงในที่นั่งข้างด้านหน้า     “เตรียมพร้อม !”     คำสั่งแผดสนั่นในหูฟัง
“เตรียมพร้อม”   ทอม  ลอชาร์ทตะโกนซ้ำใส่ไมโครโฟน รีบเอื้อมข้ามมือซ้ายของนักบินกดคันบังคับ เฮลิคอปเตอร์ถึงกับโคลงเคลง ความเร็วลดลงอย่างฉับพลัน พริบตานั้นลูกปืนชุดที่สองโปรยปรายมาอีก เกิดรอยร้าวน่ากลัวเหนือหัว และด้านหลัง ลูกปืนนัดหนึ่งแฉลบจากเนื้อโลหะ เครื่องสำลักครืดคราด เฮลิคอปเตอร์ร่วงจากฟ้าทันที
มันเป็นเฮลิคอปเตอร์เจ็ทแรงเจอร์ 206 บรรทุกผู้โดยสารได้สี่คน หนึ่งคนด้านหน้า สามคนด้านหลัง เมื่อชั่วโมงก่อนสก็อท ทำตามกิจวัตรด้วยการรับผู้โดยสารจากสนามบินชิราชอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ห้าสิบไมล์เศษ แต่บัดนี้กิจวัตรกำลังกลายเป็นฝันร้าย และภูเขากำลังพุ่งขึ้นมาใส่จนกระทั่งพอเกือบถึงสันเขาพื้นโลกพลันพลิกห่างออกไปอย่างปาฏิหาริย์ เฮลิคอปเตอร์ตกวูบลงในที่เว้าให้เวลาเขาแค่เศษเสี้ยววินาทีเพื่อปรับทิศทาง และควบคุมเครื่องบางส่วน
“ระวังซีวะ  !” ลอชาร์ทตะคอก
สก็อทเห็นอันตรายแต่เห็นไม่เร็วนัก ตอนนี้ทั้งมือและเท้าประสานกันวุ่นวายช่วยให้เฮลิคอปเตอร์เลี้ยวอ้อมชั้นหินที่โผล่ยื่นออกมา มันพุ่งเฉียดผิวขรุขระของแนวหินไปไม่กี่ฟุต แล้วทรงตัวได้อีก
“ลงให้ต่ำและเร็ว” ลอชาร์ทบอก “ทางนั้นสก็อท  ไม่ใช่ทางโน้นโว้ย ทางโน้น ลงยอดโน้นเข้าไปในหุบเลย...คุณถูกยิงหรือเปล่า?”
“เปล่า เปล่า คงไม่มั้ง คุณล่ะ?”
“เปล่า ลงในหุบเขาเลย โธ่โว้ย-เร็ว !
สก็อท  กาวัลแลนทำตามด้วยการพาเครื่องบินฉวัดเฉวียนต่ำเกินไปเร็วเกินไป และจิตใจเขายังไม่เป็นปกตินัก  ยังมีรสขื่นของน้ำดีในปาก และหัวใจยังเต้นแรงจนด้านหลังผนังกั้นเขาได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกแทรกด้วยเสียงสบถด่าของคนอื่นๆ ในห้องช่วงหลังประชันกับเสียงคำรามของเครื่องยนต์  แต่สก็อทไม่กล้าเสี่ยงหันกลับไปได้แต่พูดอย่างร้อนรนใส่อินเทอร์คอม   “ข้างหลังมีใครเจ็บบ้างไหมทอม ?”
“ช่างเหอะ  ตั้งใจให้ดี ระวังสันเขา ! พวกข้างหลังผมจัดการเอง”  ทอม ลอชาร์ทพูดปากคอสั่นสายตากวาดไปทั่วบริเวณ  เขาเป็นชาวแคนาดาวัยสี่สิบสิงอดีตเสืออากาศ—อดีตนักรบรับจ้าง ปัจจุบันเป็นหัวหน้านักบินของฐานซากรอสสาม    “ระวังสันเขา และเตรียมหลบอีกที  บินให้ต่ำเข้าไว้  ระวัง !
สันเขาอยู่เหนือพวกเขาขึ้นไปเล็กน้อย  มันพุ่งเข้ามาหารวดเร็วเกินไป  กาวัลแลนเห็นปลายแหลมของแนวหินผุดขึ้นในเส้นทาง  เขามีเวลาแค่เอียงลำอ้อมมันเมื่อกระแสลมรุนแรงพุ่งอย่างน่ากลัวมาจากด้านสูงชันของหุบเขา  เสียงแผดด่าดังมาในเอียร์โฟน  จากนั้นเบื้องหน้าเขาเห็นดงไม้กับแนวหินและขอบสุดของหุบเขา  สก็อทรู้ว่าครวนี้คงไม่รอดแน่  ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนช้าลงสำหรับเขาในฉับพลัน   “คุณพระ—“
“หลบไปซ้าย...ระวังแนวหิน !
สก็อทรู้สึกว่ามือเท้าของเขาปฏิบัติตามโดยอัตโนมัติและเห็นเฮลิคอปเตอร์เอียงลำในฉับพลัน เฉี่ยวแนวหินไม่กี่นิ้วรี่ไปตั้งลำเหนือดงไม้หนาทึบแล้วออกสู่ท้องฟ้านอกหุบเขา
“เอาเครื่องลงตรงโน้นโดยเร็วเลย”
เขาอ้าปากอ้าตาค้างเบิ่งมองลอชาร์ท  ท้องไส้ยังปั่นป่วนไม่หาย  “อะไร ?”
“เราจอดเพื่อตรวจดูเสียหน่อยดีกว่า”   ลอชาร์ทบอกอย่างร้อนรน   “ผมได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้หลุด”
“ผมก็ได้ยิน  สงสัยโครงล่างอาจจะหลุดมั้ง ?”
“ผมจะลองโผล่ออกไปเช็คดู  ถ้ามันยังอยู่ก็เอาเครื่องลงเลยผมจะรีบตรวจดูความเสียหาย  ทำแบบนั้นปลอดภยกว่านะ  พระเจ้าถึงรู้ว่าลูกปืนเจาะเอาท่อน้ำมันหรือตัดสายไฟหรือเปล่า”  ลอชาร์ทเห็นสก็อทละสายตาจาหทุ่งโล่งเหลียวไปมองพวกผู้โดยสารด้านหลัง   “ช่างพวกเขาเหอะน่า  ผมจะจัดการเอง”   เขาพูดเสียงขุ่น  “คุณสนใจกับการเอาเครื่องลงอย่างเดียวก็พอ”   เขาเห็นคนหนุ่มกว่าหน้าแดงแต่ก็ทำตาม
พยายามข่มกลั้นอาการคลื่นเหียนปุบปับลอชาร์ทหันไปด้านหลัง...คาดว่าคงเห็นเลือดสาดกระจายเปรอะเปื้อนไปทั่ว ตับไตไส้พุงคงเกลื่อน และใครสักคนกำลังแหกปากร้อง-เสียงร้องคงถูกกลบด้วยเสียงเครื่องเจ็ท  เขารู้ว่าไม่มีปัญญาทำอะไรได้จนกว่าจะไปถึงที่หลบภัยและลงดินแล้ว
โล่งใจเมื่อเห็นทั้งสามคนในที่นั่งตอนหลัง-ช่างเครื่องสองคน-กับนักบินหนึ่งคน-ดูท่าทางไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย  ทุกคนก้มตัวลงต่ำ  จอร์ดอนช่างเครื่องผู้นั่งด้านหลังสก็อทหน้าซีดเผือด สองมือกุมหัวไว้แน่น  ลอชาร์ทหันกลับมา
ตอนนี้เฮลิคอปเตอร์อยู่สูงจากพื้นประมาณห้าฟุตในที่โล่งส่วนผิวหน้าขาวหมดจดสดใสและราบเรียบไม่มีกอหญ้าโผล่ให้เห็น  สองฟากข้างหิมะสุมกันเป็นกองสูง  ตรงนั้นดูท่าคงเป็นจุดเลือกที่ดีพอดู  มีที่ว่างพอสำหรับการหลบหลีกและร่อนลง  แต่มีวิธีไหนที่จะหยั่งความลึกของหิมะและระดับความลึกใต้ล่าง?  ลอชาร์ทรู้ว่าเขาจะทำอะไรถ้าหากเขาเป็นคนควบคุมเฮลิคอปเตอร์ลำนี้  แต่เขาไม่มีอำนาจควบคุมมัน  เขาไม่ใช่กัปตันถึงแม้เขาจะเป็นนักบินอาวุโสก็เถอะ   “พวกข้างหลังปลอดภัยกันทุกคนสก็อท”
“ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นยังงั้น”   สก็อท  กาวัลแลนพึมพำ   “คุณจะโผล่ออกไปดูแล้วยัง”
“คุณว่าผิวพื้นหน้าเป็นยังไงบ้าง?”  
สก็อทจับน้ำเสียงตักเตือนในคำพูดของลอชาร์ทได้  ตายโหง...เขานึกด้วยความอกสั่นขวัญหายกับความโง่ของตนเอง   นี่ถ้าทอมไม่เตือน กูคงเอาเครื่องลงแม่งตรงนั้นแหละ  พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าหิมะหนาแค่ไหนหรือพื้นข้างใต้เป็นยังไง  สก็อทพาเฮลิคอปเตอร์ขึ้นสู่ระดับร้อยฟุตแล้วมองสำรวจไหล่เขา   “ขอบคุณนะทอมตรงนั้นเป็นไง?”
ที่โล่งแห่งใหม่เล็กกว่า  ห่างออกไปในระยะไม่กี่ร้อยหลาผ่านอีกด้านของหุบเขา  มันมีเส้นทางหนีอย่างดีสายหนึ่งถ้าพวกเขาจำเป็นต้องใช้แถมอยู่ในจุดอับลมเสียด้วยสิ  พื้นดินแทบไม่มีหิมะเอาเสียเลย...ขรุขระแต่ใช้การได้
“ผมว่าดูเข้าท่ากว่า”  ลอชาร์ทเลื่อนเอียร์โฟนอันนึงออกห่างก่อนเหลียวไปข้างหลัง  “เฮ้  ญอง-ลุค”  เขาตะโกนแข่งกับเครื่องยนต์  “ปกติดีอยู่หรือเปล่า?”
“ยังดีอยู่  ผมได้ยินอะไรอย่างนึงหลุด”
“เราก็ได้ยิน  จอร์ดอนล่ะเป็นอะไรหรือเปลา?”

“ไม่เป็นอะไร”   จอร์ดอนตะโกนตอนฉุนๆ เขาเป็นชาวออสเตรเลียรูปร่างผอมเกร็ง  หมอกำลังสั่นหัวเหมือนสุนัข  “แค่หัวแตกว่ะ  ไอ้ลูกปืนส้นตีน ! ห่า  เห็นสก็อทบอกว่าอะไรๆ กำลังดีขึ้นเมื่อชาร์เปิดตูดหนีไปและโคไมนีถกตูดกลับมา  ดีเหี้ยอะไร ? ตอนนี้พวกมันเสือกยิงเรา ! พวกห่านี่ไม่เคยทำอุบาทว์พรรค์นั้นนี่นา-มันอะไรกันแน่?”

หนังสือมือสอง ขนาด 5 X 7 นิ้ว สองเลม จำนวน 1928 หน้า สภาพภายนอกดี  ปกหลังมีรอยพับเล็กน้อย พิมพ์ด้วยกระดาษสีน้ำตาล สีเข้มขึ้นตามเวลา 






ดูรายละเอียดได้ที่

หรือแวะชมหนังสือเล่มอื่นๆ ได้ที่


UNLIMITED POWER พลังไร้ขีดจำกัด



แปลและเรียบเรียงโดย พันโทอานันท์ ชินบุตร

ถ้าคุณเคยฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า "พลังไร้ขีดจำกัด" จะแสดงวิธีบรรลุคุณภาพชีวิตอันยอดเยี่ยมที่คุณปรารถนาและสมควรได้รับ และวิธีเป็นนายของชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงานให้กับคุณ แอนโทนี่ ร็อบบินส์ ได้พิสูจน์ต่อคนนับล้านผ่านหนังสือ เทป และสัมนาของเขา โดยสร้างพลังแห่งจิตใจที่คุณสามารถกระทำ มี บรรลุผล และสร้างสิ่งใดก็ตามที่คุณต้องการ เพื่อชีวิตของคุณ เขาได้แสดงวิธีที่จะประสบความสำเร็จให้กับผู้นำของรัฐ ราชวงศ์ต่างๆ ทั่วโลก การแข่งขันโอลิมปิกและนักกีฬามืออาชี ดาราภาพยนตร
ื และ เด็กๆ ด้วย "พลังไร้ขีดจำกัด" เขาจะเปิดเผยวิทยาศาสตร์ของความสำเร็จอย่างลึกซึ้งและทรงพลัง และจะสอนคุณถึงเรื่อง

- วิธีค้นหาความต้องการที่แท้ของคุณให้พบ
- ความเชื่อแห่งความสำเร็จ 7 ประการ
- วิธีโปรแกรมจิตใจของคุณขึ้นมาใหม่ภายในไม่กี่นาทีเพื่อขจัดความกลัวและความหวาดผวา
- เคล็ดลับการสร้างสื่อสัมพันธ์อย่างฉับพลันกับใครก็ตามที่คุณพบ
- วิธีถอดความสำเร็จของผู้อื่น
- กุญแจสู่ความมั่งคั่งและความสุข 5 ประการ



<<บางส่วนจากหนังสือ>>>

เป็นนายของจิต วิธีใช้งานสมองของคุณ
ผมมีคนไข้ที่บอกกับผมว่า “ผมหดหู่ตลอดเวลา” พวกเขาดูเกือบจะภูมิใจทีเดียวที่กล่าวอย่างนี้ เพราะมันเกือบกลายเป็นมุมมองต่อโลกของพวกเขาไปแล้ว นักบำบัดทางจิตคนอื่นอาจเริ่มต้นด้วยงานที่ยาวนานน่าเบื่อ ล้วงไปหาสาเหตุแห่งความหดหู่ ปล่อยให้คนไข้พูดพล่ามเป็นชั่วโมงๆ เกี่ยวกับความหดหู่นั้น คุ้ยเขี่ยลงไปในถังขยะในใจของคนป่วยเพื่อค้นหารากของประสบการณ์แห่งการใช้อารมณ์มืดเศร้าที่ผิดๆ เทคนิคเช่นนี้กินเวลายาวนานและแพง
ไม่มีใครที่หดหู่อยู่ได้ตลอดเวลา ความหดหู่ไม่ใช่สถานการณ์ถาวรอย่างเสียแข้งเสียขา มันเป็นสภาวะที่คนสามารถเข้าไปแล้วออกมาได้เร็ว ที่จริงแล้ว คนส่วนใหญ่ที่เคยหดหู่ก็เคยมีประสบการณ์ของคามสุขในชีวิตมามากมายด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจจะมากกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้แสดงความหมายของประสบการณ์เหล่านี้ในจิตใจในแบบที่ สว่าง ใหญ่ และเอาตัวเข้าไปอยู่ในประสบการณ์เอง และเขาอาจจะแสดงภาพในใจให้อยู่ห่างออกไปมาก แทนที่จะอยู่ใกล้ๆ จงใช้เวลาสักครู่ตอนนี้เลยระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสัปดาห์ที่แล้ว และผลักมันให้อยู่ไกลออกไปมากๆ มันยังดูเหมือนว่าผ่านไปเมื่อเร็วๆ นี้อยู่หรือเปล่า? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณนำให้มาใกล้ตัวมากขึ้น? มันดูว่ายิ่งเหมือนเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้มากขึ้นหรือเปล่า? บางคนถึงกับผลักความสุขที่กำลังเกิดขึ้นให้ออกไปไกล จึงทำให้ดูเหมือนว่ามันอยู่ไกลไปมาก และบันทึกเอาปัญหามาอยู่ใกล้ๆ  คุณเคยได้ยินคนพูดกันอย่างนี้บ้างไหม “ผมเพียงแต่อยากอยู่ห่างออกจากปัญหาไปเสียหน่อย?” คุณไม่จำเป็นต้องบินไปไกลยังแผ่นดินอื่นเพื่อทำอย่างนั้น เพียงแค่ผลักมันออกไปห่างมากๆ ในใจคุณและสังเกตความแตกต่างดู คนที่หดหู่อยู่บ่อยๆ มักจะบรรจุสมองของตัวเองให้เต็มไปด้วยช่วงเวลาที่เลวร้ายในแบบที่ใหญ่ ดัง ใกล้ หนัก สำคัญ และเห็นช่วงเวลาที่ดีในแบบที่ บาง เทามัว วิธีการเปลี่ยนไม่ใช่การเข้าไปจมดิ่งขุดคุ้ยความทรงจำที่เลวร้าย แต่เป็นการเปลี่ยนชนิดโสตประสาทย่อยต่างๆ ซึ่งเป็นโคลงสร้างกำเนิดขงความเลวร้ายนั้น ต่อไปให้เชื่อมโยงสิ่งที่เคยทำให้คุณรู้สึกแย่เข้ากับการแสดงความหมายในจิตใจใหม่ที่ทำให้คุณอยากจะลองกับความท้าทายของชีวิต ในลักษณะที่กล้าหาญ สนุกขบขัน อดทน และเข้มแข็ง

บางคนพูดว่า “เดี๋ยวก่อน คุณไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้รวดเร็วขนาดนั้น!” ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? มันย่อมง่ายกว่าเสมอที่จะจับฉวยบางสิ่งด้วยความเร็วแทนที่จะใช้เวลานาน และนั่นคือสิ่งที่สมองเรียนรู้ ว่าคุณดูทีวีอย่างไร คุณมองภาพเป็นพันๆ ภาพที่ต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าคุณมองภาพหนึ่งแล้วอีกชั่วโมงต่อๆ มาดูอีกภาพที่สอง สามอย่างนี้ไปเรื่อยๆ? คุณจะไม่ได้อะไรจากมันเลย หรอว่าคุณได้? การเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคลสามารถเป็นไปได้อย่างเดียวกัน ถ้าคุณทำบางอย่าง ถ้าคุณเปลี่ยนในใจของคุณตอนนี้เลย ถ้าคุณเปลี่ยนสภาวะกาย ใจ และความประพฤติของคุณ คุณสามารถแสดงให้ตัวของคุณเห็นวิธีการที่เหลือเชื่อว่าอะไรที่เป็นไปได้ และนั่นคือการเปลี่ยนที่ให้พลังแรงแทนการเปลี่ยนด้วยเวลายาวนาน  พวกมันเปลี่ยนอย่างมหาศาลและรวดเร็ว เรากระโดดจากประสบการณ์ระดับหนึ่งสู่อีกระดับหนึ่ง ถ้าคุณไม่ชอบลักษณะที่คุณรู้สึก จงเปลี่ยนสิ่งที่คุณกำลังแสดงความหมายในจิตใจกับตัวเองเสีย

หนังสือมือสอง ขนาด 5.5 X 8 นิ้ว จำนวน 592 หน้า




ดูรายละเอียดได้ที่

หรือแวะชมหนังสือเล่มอื่นๆ ได้ที่