"ปริศนาสมบัติอัศวิน"
อาเคอร์ ค.ศ. 1291 ขณะที่เมืองกำลังถูกเพลิงเผาผลาญภายใต้การโจมตีของทหารแห่งองค์สุลต่าน เรือฟอลคอนเทมเปิล แล่นออกจากท่าโดยบรรทุกอัศวินกลุ่มหนึ่งพร้อมหีบลึกลับที่นายใหญ่แห่งคณะมอบหมายให้อยู่นความดูแล แต่แล้วเรือลำนี้กลับหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย
นิวยอร์ก ยุคปัจจุบัน ชายสี่คนแต่งกายชุดอัศวินเท็มปลาร์ขี่ม้าบุกจู่โจมเข้าไปในพิธีเปิดนิทรรศการสมบัติวาดิกัน ณ พิพิธ๓ณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิตัน และชิงเครืองถอดรหัสจากยุคกลางไป ส่งผลให้ฌอน ไรล์ลี สายลับเอฟบีไอ กับนักโบราณคดีสาว เทส เชย์กิ้น ต้องเข้าสู่เกมไล่ล่าที่มีอันตรายถึงชีวิตกับกลุ่มนักฆ่าผู้ไร้ความปราณี ขณะที่เดินทางข้ามสามทวีปเพื่อติดตามหาที่พักพิงสุดท้ายของเรือฟอลคอนเทมเปิล และความจริงเกี่ยวกับสิ่งของลึกลับบนเรือที่จะสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด
^
^
^
ความนำจากหนังสือ
อาเคอร์, ราชอาณาจักรละตินแห่งเยรูซาเลม ค.ศ. ๑๒๙๑
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ล่มแล้ว
ความคิดนั้นเฝ้าแต่รุมเร้ามาร์แตงแห่งการ์โมซ์ ความจริงอันเด็ดขาดโหดร้ายนั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าฝูงนักรบที่กรูผ่านช่องว่างในกำแพงเข้ามา เขาั้ดิ้นรนปิดกั้นความคิดนั้น พยายามผลักไสมันออกไป นี่ไม่ใช่เวลามาคร่ำครวญ เขายังมีภาระต้องทำ ยังมีคนต้องไปฆ่า ดาบใบกว้างเขาเงื้อขึ้นสูง เขาบุกตะลุยฝ่ากลุ่มฝุ่นและควันทึบ พุ่งเข้าหาแถวศัตรูที่กรูเกรียวกันเข้ามา พวกมันหลั่งไหลไหทุกที่ ดาบโค้งและขวานฟันฝ่าเข้าไปในเนื้อ เสียงโห่ร้องทำนองศึกของพวกมันดังเสียดฝ่าจังหวะต่อเนื่องของกลองที่เบื้องนอกกำแพงป้อม
เขาฟาดฟันดาบลงด้วยกำลังทั้งหมด ผ่ากระโหลกชายผู้หนึ่งแยกไปถึงนัยน์ตา ใบดาบของเขากระดอนถอนคืนมาเมื่อพุ่งเข้าหาศัตรูคนต่อไป เมื่อเหลือบตาไปทางขวาแวบหนึ่ง ก็เห็นเอมารด์แห่งวิลลิเยรส์เสอกดาบเข้าสู่อกคู่ต่อสู้อีกคนหนึ่งก่อนจะมุ่งสู่ศัตรูคนต่อไป ในยามที่มึนเมาไปกับเสียงโหยหวนเจ็บปวดและเสียงคำรามเกรี้ยวกราดรอบๆ ตัวนั้น มาร์แตงรู้สึกว่ามีคนคว้ามอซ้ายของตนไว้ เขารีบใช้ปุ่มด้านดาบถองมันออกไปก่อนฟาดฟันปลายดาบลง รู้สึกได้ว่ามันตัดผ่านกล้ามเนื้อและกระดูก เขาสัมผัสได้จากปลายหางตาว่ามีสิ่งมุ่งร้ายอยู่ใกล้ทางด้านขวา และสะบัดดาบใส่โดยสัญชาตญาณ มันเล่นผ่าผ่านท่อนแขนส่วนบนของผู้บุกรุกอีกคน ก่อนจะกรีดเฉือนแก้มและตัดลิ้นมันออกในดาบเดียว
นานนับหลายชั่วโมงแล้วที่เขาและเหล่าสหายร่วมรบไม่เคยได้รู้พักรามือการบุกของพวกมุสลิม ใช่แต่จะไม่หยุดยั้งเท่านั้น แต่ร้ายกาจเกินกว่าที่คาดไว้เสียด้วย ลูกศรและก้อนดินเพลิงโปราปรายเข้าสู่เมืองติดต่อกันมาหลายวันก่อให้เกิดเพลิงไหม้มากกว่าที่จะจัดการได้ทัน ในระหว่างนั้นคนของสุลต่านก็ขุดหลุมใต้กำแพงใหญ่เพื่อยัดเศษกิ่งไม้เข้าไปเป็นเชื้อจุดไฟ มีหลยจุดที่เตาหลอมชั่วคราวเช่นนี้อบกำแพงจนปริแตกและต้องทลายลงใต้ห่ากระสุนหิน ด้วยกำลังใจมั่นเพียงอย่าีงเดียวเท่านั้นที่เหล่าอัศวินเทมปลาร์และอัศวินฮอสปิทาลเลอร์สามารถยันการจู่โจมที่ประตูเซนต์แอนโทนี่ไว้ได้ ก่อนจะจุดไฟเผาประตูและล่าถอยมา แต่ทว่าหอคอยต้องสาปก็กระทำหน้าที่ได้สมนาม ปล่อยให้เหล่าซาราเซ็นที่พลุ่งพล่านได้เข้าสู่เมืองและพบจุดจบ
เสียงกรีดตะโกนอย่างทุกข์ทรมานถูกกลืนหายไปในเสียงโห่ร้องสับสน เมื่อมาร์แตงกระชากดาบกลับและเหลียวมองหาสิ่งที่พอจะจุดความหวังได้อย่างจนตรอก แต่ในใจเขาไม่เหลือความสงสัยใด ไม่มีวี่แววความหวัง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ล่มแน่แล้ว ในความหวาดผวาที่ยิ่งทวีขึ้น เขาก็ตระหนักแน่แก่ใจว่าทุกคนต้องพลีชีพก่อนสิ้นคืนนี้แน่ พวกเขากำลังประจันกับกองทัพใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบ และแม้ว่าความเกรี้ยวกราดและความร้อนรนยังแล่นพล่านอยู่ในเส้นเลือด แม้เขาและเหล่าภราดายังทุ่มเทความอุตสาหะ แต่ชะตาของพวกเขาก็ถูกกำหนดให้ล้มเหลวอย่างแน่นอนแล้ว
และไม่นานเหล่าผู้บังคับบัญชาของเขาก็ตระหนักข้อนี้เช่นกัน หัวใจเขาตกวูบเม่อได้ยินเสียงเป่าเขาครั้งสำคัญที่สั่งให้อัศวินแห่งวิหารที่ยังรอดเหลืออยู่ละทิ้งแนวป้องกันเมืองเสีย ดวงตาของเขาที่เหลือบมองซ้ายขวาอย่างคลุ้มคลั่งสับสนได้สบตากับเอมารด์แห่งวิลลิเยรส์อีกครั้ง ในนั้นเขาเห็นความระทมทุกข์และความละอายเฉกเช่นเดียวกันแผดเผาอยู่ ทั้งสองตะลึยฝ่าฝูงคนสับสนเคียงข้างกัน หาทางกลับสู่หมู่ตึกเทมปลาร์ที่ยังปลอดภัยกว่าจนได้
มาร์แตงติดตามอัศวินผู้อาวุโสกว่าที่จ้ำผ่านกลุ่มพลเรือนผู้หวาดหวั่นที่มาหลบภัยกันอยู่หลังกำแพงเมืองมหึมา ภาพที่รอพวกเขาอยู่ในห้องโถงใหญ่ยิ่งน่าตระหนกกว่าการเข่นฆ่าที่ได้เห็นมาเบื้องนอก ผู้ที่นอนอยู่บนโต๊ะอาหารรวมเนื้อหยาบนั้นคือวิลเลี่ยมแห่งโบเฌอ นายใหญ่ของเหล่าอัศวินแห่งวิหาร ปีเตอร์แห่งเซอวรีย์ผู้เป็นจอมทัพยืนอยู่เคียงข้างพร้อมพระสองรูป สีหน้าเศร้าสลดของทั้งสามไม่เปิดช่องให้สงสัยสิ่งใดได้อีก เมื่ออัศวินทั้งสองรุดไปข้างกาย ตาของโบเฌอก็เบิกขึ้นและยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย การเคลื่อนไหวเช่นนั้นทำให้เขาต้องคลางออกมาอย่างเจ็บปวด มาร์แตงจ้องมองเขา นิ่งอั้นด้วยความไม่อยากเชื่อ ผิวหนังของชายชราเผือดซีดไร้สีสัน ดวงตาแดงก่ำด้วยสายเลือด มาร์แตงรีบไล่สายตาไปตามร่่างของโบเฌอ พยายามเข้าใจภาพตรงหน้า และก็ได้เห็นลูกดอกติดขนนกโผล่ออกมาจากด้้านข้างซี่โครง นายใหญ่กำก้านลูกดอกไว้ในมือ อีกมือหนึ่งกวักเรียกเอมารด์ซึ่งก้าวเข้าไปใกล้ คุกเข่าลงข้างกายและกุมมอเขาไว้ด้วยมือทั้งสอง
"ถึงเวลาแล้ว" ชายชราเปล่งเสียงออกมาจนได้ แม้จะแฝงความเจ็บปวดและอ่อนแรง แต่ก็ชัดเจน "จงไปเดี๋ยวนี้ ขอพระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองเจ้า" ถ้อยคำเหล่านั้นเพียงลอยผ่านหูมาร์แตงไป สิ่งที่้เขาสนใจกลับเป็นสิ่งอื่น มุ่งตรงอยู่กับสิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ในทันทีที่โบเฌออ้าปากขึ้น ลิ้นของเขาที่กลับกลายเป็นสีดำนั่นเอง ความเกลียดชังและความโกรธเกรี้ยวท่วมท้นถึงคอหอยมาร์แตงเมื่อเขาตระหนักรู้ว่านั่นเป็นผลจากลูกดอกอาบยาพิษ ผู้นำแห่งคนทั้งหลายผู้นี้ ชายผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีอิทธิพลครอบครุมชีวิตอัศวินหนุ่มทุกด้านมาตลอดนับตั้งแต่จำความได้ ไม่ต่างจากตายไปแล้วเลย
เขาสังเกตเห็นโบเฌอเหลือบตาขึ้นมองเซอวรีย์และผงกหัวเล็กน้อยแทบมองไม่ออก เซอวรีย์ขยับไปที่ปลายโต๊ะและเลิกผ้าคลุมกำมะหยี่ขึ้นเผยให้เห็นหีบใบเล็กประดับประดางดงามกว้างไม่เกินสามช่วงฝ่ามือ มาร์แตงไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน เขามองดูด้วยความทึ่งอยู่เงียบๆ เมื่อเอมารด์ลุกขึ้น จ้องมองหีบนั้นอย่างเคร่งขรึมแล้วหันกลับมามองโบเฌอ ชายชราประสานสายตาเขาก่อนหลับตาลงอีกครั้ง ลมหายใจติดขัดบ่งวาระสุดท้าย เอมารด์ก้าวไปหาเซอวรีย์และสวมกอดเขาไว้ ก่อนจะยกหีบใบเล็กนั้นขึ้นมาและมุ่งหน้าเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะเหลือบทองกลับมา เม่อเดินผ่านมาร์แตงเขาเพียงแต่กล่าว "มา"
มาร์แตงลังเล เหลือบตามองโบเฌอแล้วมองเซอวรีย์ซึ่งผงกหัวเป็นเชิงสำทับ เขาเร่งฝีเท้าตามหลังเอมารด์ไป และไม่ช้าก็รู้ตัวว่าไม่ได้มุ่งหน้าเข้าหาศัตรู พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังท่าเรือป้อม
"เราจะไปที่ใดกัน" เขาตะโกนถาม
เอมารด์ไม่ชะงักฝีเท้าเลย "เรือ
ฟอลคอนเทมเปิล รอเราอยู่ เร็วเข้า" ฝีเท้ามาร์แตงสะดุดหยุดลง ความคิดสับสนปั่นป่วน
เราจะจากไปรึ เขารู้จักเอมารด์แห่งวิลลิเยรส์มานับตั้งแต่มรณกรรมของบิดาผู้เป็นอัศวินเช่นกันกับเขาเมื่อสิบห้าปีก่อนหน้านั้น เมื่อครั้งที่มาร์แตงอายุยังไม่ครบห้าขวบดี นับแต่นั้นเอมารด์ก็เป็นผู้ปกครองเขา เป็นครูเขา เป็นวีนบุรุษของเขา ทั้งสองรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายศึก และมาร์แตงเชื่อว่าทั้งคู่ควนจะยืนหยัดเคียงข้างกันและกันเมื่อจุดจบมาถึง แต่ไม่ใช่เช่นนี้ นี่มันวิปริต นี่มัน...
หนีทัพ เอมารด์ก็หยุดเช่นกัน แต่เพียงเพื่อคว้าไหล่มาร์แตงและผลักให้เขาเดินเท่านั้น "เร่งเร็วเข้า" เขาสั่ง
"ไม่" มาร์แตงร้องลั่น ปัดมือเอมารด์ออกจากร่าง
"มา" อัศวินผู้แก่วัยกว่ายันคำเดิมห้วนๆ
มาร์แตงรู้สึกถึงความคลื่นเหียนที่ล้นมาถึงคอหอยใบหน้าเกรี้ยวกราดขณะเค้นหาถ้อยคำ "ข้าจะไม่ละทิ้งภราดาของเรา" น้ำเสียงเขาขาดเป็นห้วง " มิใช่บัดนี้...ไม่มีวัน!"
เอมารด์ถอนใจอย่างหนักอกและเหลือบมองกลับไปยังเมืองที่ถูกล้อมกระสุนเพลิงถูกยิงเป็นแนวโค้งอยู่ในท้องฟ้าราตรี พุ่งตกลงในเมืองจากทุกทิศทาง เขายังถือหีบใบเล็กไว้มั่น หันกลับและก้าวเข้ามาหาอย่างดุดันก้าวหนึ่งจนใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่นิ้ว มาร์แตงมองเห็นน้ำตาที่สะกดกลั้นไว้ชุ่มอยู่ในดวงตาของสหาย "เจ้าคิดว่าข้าอยากทอดทิ้งพวกเขารึ" เขากระซิบดุดัน น้ำเสียงดังเสียดหู "หรือทอดทิ้งนายของเรา...ในห้วงวาระสุดท้าย เจ้าย่อมรู้จักข้าดีกว่านั้นแน่"
ความคิดของมาร์แตงพลุ่งพล่านสับสน "ถ้าเช่นนั้น...
ทำไมกัน"
"สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำนี้สำคัญเกินกว่าการสังหารพวกหมาบ้านั่นเพิ่มอีกไม่กี่ตัวมากนัก" เอมารด์ตอบอย่างเคร่งขรึม "เป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อความอยู่รอดของคณะเรา เป็นเคร่องตัดสินว่าเราจะสามารถดูแลให้ทุกสิ่งที่เราทุ่มเทมาไม่จบสิ้นลงที่นี่เช่นกันหรอไม่ เราต้องไปในบัดนี้" มาร์แตงเผยอปากจะท้วง แต่สีหน้าของเอมารด์นั้นมั่นคงแน่วแน่ มาร์แตงก้มหัวยอมรับอย่างไม่เต็มใจห้วนๆ และตามไป
เรือลำเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ที่ท่าคือ
ฟอลคอนเทมเปิล เรือลำอ่นแล่นใบออกไปตั้งแต่ก่อนการบุกจู่โจมของพวกซาราเซ็นจะตัดการสัญจรไปสู่ท่าเรือหลักของเมืองเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนแล้ว เรือลอยลำเพียบต่ำอยู่ในน้ำ บรรทุกทาสภราดานายกองและอัศวินอยู่เต็มลำแล้ว คำถามต่างๆ เฝ้าผุดพราลขึ้นมาในสมองของมาร์แตง แต่เขาไม่มีเวลาจะเอ่ยถามแม้แต่คำเดียว เมื่อทั้งสองไปถึงท่าเขาก็ได้เห็นตัวนายเรือ กะลาสีชราที่เขารู้จักเพียงในนามฮิวจ และรู้เช่นกันว่าเป็นผู้ได้รับความนับถือจากนายใหญ่อย่างยิ่ง ชายร่างบึกบึนผู้นั้นกำลังมองดูกิจกรรมยุ่งเหยิงวุ่นวายจากดาดฟ้าเรือ มาร์แตงไล่ดูลำเรือจากดาดฟ้าทางท้ายเรือ ผ่านเสากระโดงสูง ไปถึงส่วนหัวเรือที่ตอนปลายเป็นรูปสลักนกกินเนื้อท่าทางดุร้ายที่เหมือนมีชีวิตยิ่งนัก
เสียงเอมารด์แผดลั่นไปยังนายเรือโดยไม่หยุดเดิน "ขนน้ำและอาหารลงเรือหรือยัง"
"เรียบร้อย"
"เช่นนั้นก็ทิ้งที่เหลือและกางใบเดี๋ยวนี้"
เพียงเวลาไม่กี่นาที สะพานขึ้นเรือก็ถูกดึงขึ้น เชือกโยงเรือถูกโยนขึ้นแล้วเรือ
ฟอลคอนเทมเปิล ก็ถูกลากออกจากท่าโดยฝีพายในเรือยาวลำเล็กประจำเรืออีกไม่นานนักนายทาศก็ร้องสั่ง แลพหมู่ทาสฝีพายเรือยาวปีนป่ายขึ้นบนดาดฟ้าแล้วดึงเรือยาวขึ้นมามัดไว้ ในเสียงฆ้องดังทุ้มเป็นจังหวะและเสียงคำรามของฝีพายในโซ่ตรวนจำนวนกว่าร้อยห้าสิบคนนั้น เรือก็เร่งความเร็วและออกพ้นจากกำแพงใหญ่ของหมู่ตึกเทมปลาร์
เมื่อเรืออกสู่ทะเลเปิด ลูกศรก็โปรยปรายลงมาราวห่าฝน ส่วนทะเลรอบๆ ก็เดือดพล่านขึ้นเป็นฟองขาวระลอกใหญ่ เพราะหน้าไม้และเครื่องยิงกระสุนของสุลต่านต่างพุ่งเป้าไล่ตามเรือที่กำลังจะหนีจากไป ในไม่ช้าเรือก็ออกพ้นระยะยิง มาร์แตงยืนขึ้น เหลือบมองกลับไปยังผืนแผ่นดินที่กำลังถอยห่างออกไป พวกนอกศาสนาเรียงแถวกันอยู่ตลอดแนวกำแพงเมือง โห่ร้องเยาะเย้ยมาที่เรือเสมือนทำกับสัตว์ในกรง ถัดจากนั้นเข้าไปคือนรกที่กำลังเดือด สะท้านสะเทือนไปด้วยเสียงตะโกนและกรีดร้องของเหล่าชายหญิงและเด็ก ตัดกับเสียงคำรามลั่นไม่หยุดยั้งของกลองศึก
เรือค่อยเร่งเร็วขึ้นช้าๆ ด้วยแรงเสริมจากลมนอกชายฝั่ง แถวพายยกขึ้นและจุ่มลงเหมือนปีกเรียผิวน้ำที่ค่อยๆ ดำมืดลง ที่แนวขอบฟ้าไกลๆ นั้น ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำน่าหวาดหวั่น
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
มอเขายังสั่นสะท้านและหัวใจหนักอึ้ง มาร์แตงแห่งการ์โมซ์ค่อยๆ ฝืนใจหันหลังให้แผ่นดินเกิดและจ้องมองไปยังพายุที่รอพวกเขาอยู่เบื้องหน้า......
หนังสือมือสอง ขนาด 5X7 นิ้ว
ปริศนาสมบัติอัศวิน
แวะชมเล่มอื่นๆ ได้ที่
books~4~you ร้านหนังสือมือสองของคนชอบอ่าน