ส่วนหนึ่งของ เด็กสองโลก
"มันแปลว่าอะไร--โลกนี้ไม่ใช่ของท่านผู้เดียว? ประหลาดมาก เป็นไปได้ไหมที่มันเป็นความหมายโดยบังเอิญ?" สีหน้าของท่านเลขาธิการฯ ก็งงงันไม่ต่างจากผม
"เป็นไปไม่ได้ ผมก็ไม่อยากเชื่อเรื่องนี้เหมือนกัน เราไม่มีคำอธิบายว่าทำไมเขาจึงฉลาดกว่าคนทั่วไปในโลก เช่นเดียวกับเราตอบคำถามที่ว่า เขาเรียนรู้อะไรในหลายปีที่อยู่ในป่านั่นอย่างไรไม่ได้..."
เขาถามผม "แล้วคุณทดสอบอย่างไรต่อไป?"
"เราทำการป้อนคำถามมากมายต่อไป เขาตอบได้หมดผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ ปัญหาของเรายากขึ้นเรื่อยๆ ครอบคลุมถึงแคลคูลัส ตรีโกณมิติ เรขาคณิต สิ่งที่ประหลาดที่สุดคือ เขาตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างไม่เปลืองสมอง เด็กคนนี้สามารถแก้สมการทางคณิตศาสตร์ยากๆ ที่นักคณิตศาสตร์โบราณใช้เวลาคิดเป็นปีได้หมดอย่างง่ายดาย"
เราทั้งสองเงียบไปครู่ใหญ่ ผมกล่าวต่อไปว่า "คำถามของผมก้าวไกลต่อไปถึงระบบยนตกรรมศาสตร์ กลศาสตร์ ดาราศาสตร์ ไปจนถึงปรัชญา ลูกชายของคุณเข้าใจ และตอบมันได้ทั้งหมด"
เขากระซิบ "คุณคิดว่ามันเป็นไปได้อย่างไร"
ผมชี้มือไปที่กองเอกสารและแฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์สูงท่วมหัวบนโต๊ะ "จากการสำรวจอย่างละเอียดของนักวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ ดาวกิสบอนไม่ปรากฎสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญษ มีแต่ต้นไม้และสัตว์เซลล์เดียวชั้นต่ำเท่านั้น แต่ความสามารถของลูกชายของคุณบ่งชัดว่าโลกหรือป่าดงดิบที่เขาเติบโตมาไม่ใช่โลกที่ไร้อารยธรรมอย่างแน่นอน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเราอาจสรุปได้ตามหลักตรรกว่า เขาเรียนรู้มาจากสัตว์ พูดตรงกว่านั้นก็คือ สัตว์เซลล์เดียวหรือที่พวกนักสำรวจเขียนลงในรายงานว่าสัตว์ชั้นต่ำเหล่านั้นมีภูมิปัญญาสูงกว่ามนุษย์เราเสียอีก"
เขาตะลึงงัน มือที่สั่นด้วยอารมณ์ภายในปัดถ้วยกาแฟที่เย็นชืดนั้นล้มลง น้ำกาแฟสีเข้มซึมหายไปในผ้าปูโต๊ะสีขาวสะอาดเป็นรอยด่างดวง
อีกครั้งที่เราสองเงียบกันนาน
"ผมจะไม่ถามคุณหรอกว่ามันเป็นไปได้ยังไง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ทั้งสิ้น"
"เอกภพยังมีหลายสิ่งอยู่เหนือการคิกของมนุษย์"
"เอาละ สมมุติว่าข้อสันนิษฐานของคุณเป็นจริง สมมุติว่าสัตว์เซลล์เดียวเหล่านั้นมีความฉลาดกว่าเราจริง แต่เมื่อมนุษย์เรารุกรานป่าอันเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตพวกนั้น ทำไมพวกมันจึงไม่ตอบโต้เราเลย ตรงข้ามกลับถูกทำลายร่อยหรอลงไปทุกที?"
ผมสั่นศีรษะ "ผมไม่ทราบ บางทีสัตว์พวกนั้นนอกจากจะมีวิทยาการสูงกว่าเรา ยังมีระดับศีลธรรมสูงกว่าเราด้วย หรือบางทียังไม่ถึงเวลาตอบโต้การกระทำของมนุษย์..."
ผมนิ่งเงียบ ระบายลมหายใจออกมาหนักหน่วง "...ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งพวกนั้นจะไม่ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งต่อพวกมนุษย์ที่รุกราน"
"คุณบอกใครหรอยังในการค้นพบอันนี้?"
"ยัง ผมนัดพบคุณเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบก่อน บ่ายนี้ผมต้องไปแถลงผลการทดสอบทั้งหมดให้แพทย์สภา"
ชายผู้เป็นพ่อถาม "พวกนั้นจะทำอย่างไรกับเขาต่อไป?"
"ผมไม่ทราบ ตอนนี้ลูกของคุณดูจะกลายเป็นสมบัติของชาติไปเสียแล้ว"
"ขอผมพบเด็กได้ไหม?"
"ได้ แต่คุณต้องมองผ่านกระจก เราไม่ต้องการรบกวนเขา"
เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม เขาสบตาผม "ได้โปรด ผมเป็นพ่อเขานะ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมฝันถึงเมีย ถึงลูกที่คิดว่าตายแล้วอยู่เสมอ..."
ผมมองเส้นผมที่หงอกสีเทาแทรกอยู่ มีตีนกาและรอยย่นที่หน้าผากเป็นร่องลึก เขาคงความเศร้าจากการสูญเสียที่หนักหน่วงมามากและนานเกินไป ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะตอบเขาว่าไม่ ผมพยักหน้าอนุญาต สีหน้าเขาดีขึ้นบ้าง
ผมยืนมองคนทั้งสองจากนอกห้องกระจก คนหนึ่งเป็นชาวมนุษย์โลก อีกคนหนึ่งเป็นชาวมนุษย์ที่เติบฌตจากต่างโลก ต่างอารยธรรม
เป็นภาพที่น่าสะเทือนใจสำหรับผมมากที่เห็นพ่อลูกที่มีความผูกพันทางสายโลหิต แต่แปลกหน้ากันเหมือนสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ ณ ที่เดียวกัน ชายผู้เป็นบิดาเดินใกล้เข้าไปหาร่างที่นั่งอยู่บนเตียง ความคิดของผมสับสนในหัว ทำไมผมอนุญาตให้เขาทั้งสองพบกัน? ใช่ไหมที่ในใจของผมยังเชื่อว่าคนทั้งสองน่าจะ 'สื่อสาร' กันได้? ความสัมพันธ์ที่ผูกพันทางสายโลหิตอาจเป็นหนทางสุดท้ายที่นำเด็กชายชาวกิสบอนกลับมา และเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองอารยธรรม บางทีครั้งนี้เราอาจสามารถเรียนรู้ความสงบสันติจากสิ่งมีชีวิตอีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง
ใกล้เข้าไปๆ ในที่สุดร่างของพ่อก็หยุดอยู่ตรงหน้าลูกน้อยที่เติบฌตจากต่างดาว
พลันสายตาทั้งสองคู่ก็สัมผัสกัน...
ดูเพิ่มเติมใน
แวะชมเล่มอื่นๆได้ที่
books~4~you ร้านหนังสือมือสองของคนชอบอ่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น